วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Hush Money

HUSH  MONEY
ด้านหลังร้านชื่อ  เดอะกรีนเบิร์ด  มีที่จอดรถขนาดใหญ่  มันเป็นร้านเหล้าที่ยุ่งวุ่นวาย  และทุกๆคืนจะมีรถจำนวนมากอยู่ที่นี้  ในคืนนี้  มีผู้หญิงอยู่ในที่จอดรถด้วยเช่นกัน  เธอยืนอยู่ในที่มืดหลังต้นไม้  มองดูและรอ
เธอมีชื่อว่าโรซ่าและเธออายุ  20  ปี  เธอทำงานในโรงแรมอาทิตย์ละ  6  วันยกเว้นวันจันทร์  ในวันจันทร์โรซ่าจะทำบางอย่างที่แตกต่างไป  และวันนี้คือวันจันทร์  มันหนาว  โรซ่าวางมือลงไปในกระเป๋าของเสื้อโค้ทของเธอ  มันเป็นคืนสำหรับกางเกง  แต่โรซ่าสวมกระโปรงสั้นและไม่ใส่อะไรที่ขาทั้ง  2  เลย  มันเป็นสิ่งสำคัญ
หลังจากเวลาผ่านไป  ผู้หญิงออกมาจากร้านเหล้าและเดินไปยังที่จอดรถฟอร์ดคันสีฟ้า  ผู้หญิงอายุประมาณ  50  ปีและเธอเดินช้า  เธอร้องเพลงเงียบพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มนิดๆ
“  เธอดื่ม  ”  โรซ่าคิด  “  แต่เธอจะขับรถ 
ผู้หญิงขับรถของเธอและวางมือลง  เธอสวมเสื้อโค้ทยาวสีเขียวและกางเกงสีเทา  และเธอมีผม       สีบรอนด์  ผมบรอนด์มากๆ
“  โอ้ที่รัก  หัวของฉัน  ”  เธอพูดและหัวเราะ
“  สีผมนั้นเหมือนออกมาจากขวด  ”  โรซ่าคิด
เธอเอาขวดเล็กๆ  ออกมาจากกระเป๋า  มีของเหลวสีแดงอยู่ในนั้นและเธอทาลงบนขาของเธอ  ทันใดนั้นเธอก็วิ่งอย่างเร็วรอบที่จอดรถฟอร์ดสีฟ้า
ผู้หญิงคนนี้เปิดประตูและตกไปนั่งที่นั่งคนขับ  และเธอหัวเราะ  “  โอ้  โดรอทที่  เบิร์น  ”  เธอร้องเพลง  “  คุณดื่มอีกครั้ง  ! 
ตอนนี้โรซ่าอยู่ด้านหลังรถของเธอ  หมอบอยู่กับพื้น  เมื่อรถเริ่มเคลื่อนไปข้างหลัง  เธอกระโดดและรีบวางบางอย่างบนด้านหลังของรถ
โดรอทที่เบิร์นออกมาจากรถและเดินรอบๆไปข้างหลัง  เมื่อเธอเห็นโรซ่าอยู่ที่พื้น  หน้าของเธอก็เป็นสีขาว
“  โอ้  ”  เธอร้อง  “  เกิดอะไรขึ้น 
“  ขาของฉัน  ”  โรซ่าพูด  “  บนขาของฉัน  ”  เธอเริ่มร้อง
“  แต่  แต่เกิดอะไรขึ้น  ”  โครอทที่เบิร์นพูด  ทันใดนั้นเธอเห็นน้ำสีแดง  บนขาของโรซ่า  “  โอ้  นั้นเลือดบนขาของคุณ  !! 
“  ใช่  เพราะว่ารถของคุณชนฉัน  ทำทำไม  ”  โรซ่าพูด  เธอหยุดร้องและดูโกรธ
“  ฉัน  ฉันไม่เห็นว่าคุณอยู่หลังฉัน  ”  โครอทที่  เบิร์นพูด
“  คุณไม่เห็นฉันเพราะคุณไม่ได้มอง  ”  โรซ่าพูดแบบโกรธ  และเธอพูดใส่ผู้หญิงว่า  คุณเมา
ทันใดนั้น  โครอทที่  เบิร์นกลัวมาก  ฉัน  ฉัน... 
“  ใช่  คุณมีกลิ่นวิสกี้ !  ฉันได้กลิ่นมาจากตรงนี้  ”  โรซ่าพูด  “  ฉันกำลังจะโทรไปหาตำรวจเดี๋ยวนี้
“  โอ้  ไม่  ได้โปรด  !    โครอทที่  พูด   ฉันเสียใจ  เสียใจมากๆ  แต่อย่าบอกตำรวจ  ได้โปรด  ฟังฉัน  ฉันสามารถช่วยคุณ  ฉันสามารถพาคุณไปที่บ้านและ...
“  ฉันไม่ขึ้นรถไปกับคุณหรอก  !  ”  โซร่าพูด  “  คุณเมา  !
“  ไม่  ”  โครอทที่  เบิร์นบอก  “  มันแค่วิสกี้ขวดเล็กแค่นั้น 
“  โอ๊  ใช่เหรอ  ? ”  บอกกับตำรวจนะ  “  โรซ่าก็ยืนขึ้น  จับขาของเธอ  ”  ทะเบียนรถของคุณคืออะไร ?
“  ไม่นะ  ขอร้อง  ! ”  โครอทที่  เบิร์นบอก  “  ไม่บอกตำรวจ  ฟังฉัน  ฉันต้องการช่วย  คุณเรียกแท็กซี่ไปส่งโรงพยาบาล  ฉันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง  มันเป็นอุบัติเหตุ 
“  มีเงินเท่าไหร่  ”  โรซ่าพูด
“  เอ่อ...เอ่อ  20  ปอนด์  ? โดรอทที่  เบิร์นบอก
“  50    โรซ่าพูด
“  ดี  ถ้า  30  ล่ะ  ”  โครอทที่  เบิร์นพูด
 50  ”
“  แต่ฉันไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น 
“  50  ฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้  ”  โรซ่าหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทของเธอ
“  โอเค โอเค  ”  โครอทที่  เบิร์นพูด  เธอหยิบกระเป๋าถือออกมาจากรถ  เอาเงินออกมา  50  ปอนด์และให้กับโรซ่า  “  นี้ของคุณ  ”  เธอพูด
โรซ่ารับเงินและเดินออกไป  เธอเดินไปที่รถของเธอ  รถเฟียทคันเล็กสีขาว  10  ปี  เธอนั่งในรถและรอให้ผู้หญิงคนนั้นขับรถไป  และเธอก็กับรถกลับบ้าน
สามวันต่อมาวันจันทร์ตอนเย็น  โรซ่าไปร้านเหล้าที่แตกต่างกัน  3  ร้าน  เธอรอคนเมาหรือคนที่เมาที่กำลังจะขับรถกลับ  บางครั้งเธอรอสองชั่วโมงหรือมากกว่านั้นทันใด  นั้นเธอก็เอาขวดของเหลาสีแดง  และไม่กี่นาทีต่อมาก็มีอุบัติเหตุ
คนขับรถไม่ต้องการให้โรซ่าโทรหาตำรวจ  พวกเขาจ่ายเงินให้เธอเป็นที่เรียบร้อยบางครั้งก็  50  ปอนด์  บางครั้งก็  100  ครั้งหนึ่ง  ผู้ชายร่างใหญ่และอ้วนกับฟันสีทองให้เงินเธอ  200  ปอนด์  มันเป็นวัยจันทร์ที่ดีมาก
วันจันทร์ต่อมา  โรซ่าเจอร้านเหล้าในถนนไม่ไกลจากเดอะกรีนเบิร์ด  มันเป็นคืนที่หนาวมาก  เธอนั่งรอในรถของเธอ  ชั่วโมงหนึ่งผ่านไป  ผู้ชายคนหนึ่งออกมากจากร้านเหล้าถือขวดไวน์มือหนึ่ง  เขายืนมองไปมาที่ลานจอดรถ  โรซ่าของเขาอยู่
“  เขาหารถของเขาไม่เจอ  ”  เธอคิด  “  เขาเมา 
หลังจากนั้นหนึ่งถึงสองนาที  ผู้ชายคนนั้นเริ่มเดินไปยังลานจอดรถที่ฮอนด้าคันใหญ่สีแดง  รองเท้าของเขาและเขาใกล้จะตกลง  แต่สุดท้ายเขาก็ไปที่รถฮอนด้าและเริ่มเปิดประตู
โรซ่าเอาของเหลวสีแดงทาที่ขาของเธอและออกไปจากรถ  เธอเดินอย่างเร็วไปที่รถฮอนด้าและหมอบลงข้างหลังมัน  เริ่มอุบัติเหตุ
  เฮ้  คุณ  !
โรซ่ามองรอบๆ  อย่างรวดเร็ว  ผู้หญิงคนนึ่งวิ่งออกมาจากที่จอดรถ  ผู้หญิงใส่เสื้อโค้ทสีเขียว  กางเกงสีเทา  ผู้หญิงที่มีผมสีบรอนด์มาก  เธอมีกล้องถ่ายรูปในมือ
“  โอ้  ไม่  คุณไม่ทำ  !”  โครอทที่  เบิร์นตะโกน  เธอคว้าแขนของโรซ่า  “  คุณไปที่เดอะกรีนเบิร์ด  เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว 
“  อะไร  คุณเป็นใคร  คุณพูดถึงอะไร  ? ”  โรซ่าพูด  “  ฉันกำลังจะกลับบ้าน  ปล่อยแขนฉัน  !”
ผู้ชายที่ถือขวดไวน์ในมือมายังข้างหลังรถฮอนด้าของเขา  “  เฮ้  คุณกำลังทำอะไร  เกิดอะไรขึ้น  ?”  เขาพูด  หน้าของเขาแดงมากและตาของเขาใกล้จะปิด
“  ผู้หญิงคนนี้เอาเงินของฉันไป  50 ปอนด์  เมื่อสี่อาทิตย์ที่แล้ว  ”  โครอทที่  เบิร์นบอกเขา  “  เธอเป็นคนโกหกเธอจะลงไปอยู่ที่หลังรถของคุณ  และเธอก็จะถูกว่า  รถชนเธอ แต่มันไม่ใช่  เธอทำมันเพื่อที่จะเอาเงินของคุณ  เธอพูดว่า  โอ้  คุณเมา  และฉันจะแจ้งตำรวจและเพราะว่าคุณเมาและคุณกลัว  คุณจะให้เงินเพื่อหยุดเธอ  ฉันทำมัน
ผู้ชายคนนั้นมองโรซ่า  “  อะไร  ? ”  เขาพูด
โรซ่าดึงแขนออก  แต่ก่อนที่เธอจะวิ่ง  โครอทที่  เบิร์นคว้ามือของเธอไว้  “  ดูขาของเธอ ”  เธอบอกผู้ชาย    มีเลือดอยู่บนนั้น  แต่ทำไม  ?  มันเกิดขึ้นได้อย่างไร  ?  เธอใส่มัน  เพื่อพร้อมที่จะเกิดอุบัติเหตุ  อุบัติเหตุของคุณ  เพราะว่านาทีนั้นคุณกำลังจะชนเธอด้วยรถของคุณ  และเธอจะร้องออกมาว่า  โอ้ย  ขาฉัน  ขาฉัน  แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เธอโกหก  ? 
สุดท้ายผู้ชายยืนขึ้น  เขาจ้องมองโรซ่า  ใบหน้าของเขาเริ่มแดงกว่าเดิม  “  คุณอายุยังน้อย  ! ”  เขาพูดด้วยความโกรธ  เขาผลักโรซ่าและเธอตกลงไปที่พื้น  แต่ก่อนที่เขาจะตีเธออีกครั้ง  โครอทที่  เบิร์นดึงเขาออกมา
“  ไม่...รอ ”  เธอพูด
ขวดไวน์ตกลงจากมือของผู้ชาย  มันตกลงพื้นข้างๆ  โรซ่าและแตก  ไวน์ไหลลงบนหน้าของเธอและเสื้อโค้ทของเธอ
“  ไวน์ของฉัน  ! ”  ผู้ชายร้อง  เขามองผู้หญิงสองคนนี้อย่างโกรธ  และเริ่มเดินกลับไปที่ร้านเหล้า  “  ไปเอาไวน์  ”  เขาพูด  “  เพื่อภรรยาของฉัน 
โรซ่าหัวเราะ  “  ทำไม  ?  ฉันไม่ต้องการที่จะคุยกับคุณ 
“  โอ้  ฉันคิดว่า  คุณอยากคุย  ”  โครอทที่  เบิร์นพูด  “  คุณดู  ฉันถ่ายบางรูปของคุณตอนที่คุณอยู่หลังรถผู้ชายคนนั้นและรอ  เป็นรูปที่น่าสนใจ  พวกเขา 
โรซ่าหยุดและเดินกลับมาที่โครอทที่  “  คุณตามหาฉันได้อย่างไร  ”  เธอพูด
“  ฉันไปหลายๆ  ผับในทุกคืน  และรอในที่จอดรถและมองดู  และคุณอยู่ที่นี้  และคุณกำลังทำเหตุการณ์หักหลังที่สกปรกอีกครั้ง 
“  มันไม่ใช่การขู่จะเปิดโปงความลับ  ”  โรซ่าพูดอย่างเร็ว  “  เขาเป็นคนขี้เมา  ”  และคุณก็เมาด้วยเช่นกันในอีกคืน
“  แต่รถของฉันไม่ได้ชนคุณ  !” โครอทที่พูด
“  คุณรู้ได้ยังไง  ”  โรซ่าพูด  “  คุณเมา 
“  ไม่  ไม่เมา  มันคือความสุขแค่นั้นเอง  โครอทที่พูด  “  เมื่อฉันกลับบ้าน  ฉันเริ่มคิด  คุณต้องการ  50  ปอนด์  คุณต้องการมาก  และฉันรู้เกี่ยวกับการแบลกเมล์  คุณดู  ครั้งหนึ่งฉันเคยโกหกเหมือนกัน   โรซ่าจ้องมองเธอ  “  คุณเคยทำอะไร  ”  เธอถาม
“  ตอนฉันเป็นเด็ก  ”  โครอทที่  เบิร์นพูด  “  แม่ของฉันและพ่อออกไปข้างนอก  ตอนเย็นบ่อยๆ  เพื่อจะไปทานอาหาร  ไปหาเพื่อนของเขา  ไปดูหนัง  พวกเขาเองน้องสาวคนเล็กมาอยู่กับฉัน  เพราะฉันอายุ  10  ปี  พี่เลี้ยงเด็กของฉันเป็นผู้หญิงเป็นนักเรียน  8  และ  9  ขวบ  พวกเขาต้องการเงินไม่ดี  นักเรียนทั้งสองทำ  แต่ฉันชอบเงินเช่นกัน 
โครอทที่เบิร์นยิ้ม    มันง่าย  เริ่มแรกฉันดีกับพวกเขา  ฉันก็พูดว่า  ฉันต้องการเงินครั้งหนึ่ง  หรือจะให้ฉันบอกแม่เกี่ยวกับคุณ  ฉันจะบอกเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  ว่าคุณตีฉัน  คุณเอาน้ำร้อนมาวางบนมือฉัน  คุณดึงผมฉัน  คุณปล่อยฉันไว้ในที่มืด  สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นความจริง  แต่เด็ก          กลัวแม่ของฉัน  เธอมีชื่อเสียง  คุณดู  เธอเขียนหนังสือเกี่ยวกับเด็กๆ  และออกโทรทัศน์และเมื่อเธอโกรธ  เธอไม่ได้เป็นคนที่ดีเลย  และดังนั้นพี่เลี้ยงเด็กไม่พูดอะไร  และให้เงินฉันครึ่งหนึ่ง 
“  คุณเป็นเด็กดีจริง  ! ”  โรซ่าพูด
ไม่  ฉันไม่ได้ดี  โครอทที่พูด  “  แต่บางคนดีกว่าเมื่อพวกเขาแก่ขึ้น  ตอนนี้ฉันไม่ได้ต้องการแบลกเมล์  แต่ฉันรู้ที่แบลกเมล์เมื่อฉันเห็น  ”  เธอยิ้มกับโรซ่าและโรซ่าจ้องมองข้างหลังเธอ
“  คุณต้องการอะไร  ?  ”  เธอพูด
โครอทที่  เบิร์น เอามือของเธอออก  “  ฉันต้องการ  50  ปอนด์ของฉันคืน 

สามนาทีต่อมา  โรซ่าขับรถเฟียทคันเล็กออกจากที่จอดรถที่ร้านเหล้า  เธอโกรธมาก
เพราะเธอโกรธ  เธอจึงขับรถเร็ว
สองกิโลเมตรจากผับ  รถของโรซ่าออกจากถนนและชนกับกำแพง  เธอไม่ตายแต่แขนและขาของเธอหัก  และหัวของเธอถูกกระทบกระเทือนอยู่ในรถ  เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้  เธอไม่สามารถออกมาจากรถ  เธอไม่สามารถหยิบโทรศัพท์ของเธอ
ตำรวจสองคนพบเธออยู่ในรถในชั่วโมงหลังจากนั้น  และโทรเรียกรถพยาบาล  หน้าของโรซ่าซีดและเธอไม่สามารถพูดได้  ตำรวจนั้นไม่เป็นมิตร
“  ฉันได้กลิ่นไวน์ที่เธอ  ”  ตำรวจคนแรกพูด

“  อีกคนเมาแล้วขับ  !  ”  ตำรวจคนที่สองพูด  “  ทำไมผู้คนถึงเมาแล้วขับ 

Joey's Luck

Joey’s  Luck
โจอี้  แคร์แกนอาศัยอยู่ที่ลอนดอน  ในปี  1912  เดือนมกราคม  เขาไม่มีสถานที่อาศัยอยู่
“  มันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ  ”  เขาคิดและยิ้ม  “  โชคชะตาของโจอี้กำลังพาไปหาห้อง   โจอี้คิดมากมายเกี่ยวกับโชคชะตา ซักวันหนึ่งฉันจะต้องรวยให้ได้  ”  เขาบอกกับทุกคน  “  คนโชคดีจะรวยและฉันโชคดี 
หลังจากเดินมาเป็นเวลานาน  เขาก็พบห้องในบ้านหลังหนึ่ง  มันใกล้กับทาวเวอร์บริดจ์  ห้องนั้นไม่ได้ใหญ่มากแต่มันราคาถูก  เจ้าของบ้านเช่านั้นชื่อว่า  มิสเตอร์เว็บเบอร์  เขามองโจอี้หัวจรดเท้า
“  คุณชื่ออะไร  ”  เขาถาม  “  คุณมาจากไหน 
“  โจ  โจ  สมิธ  ”  โจพูด  “  ฉันมาจากไอร์แลนด์ 
“  ดี  คุณสามารถเข้าพักได้  ”  เวบเบอร์พูด  “  แต่ฉันต้องการค่าเช่า  อาทิตย์ตอนนี้ 
“  ฉันมีเงินสำหรับอาทิตย์เดียว  ”  โจพูด
“  และพรุ่งนี้วันอาทิตย์  ”  เวบเบอร์พูด  “  คุณไม่สามารถหางานทำวันอาทิตย์ได้  ”  เพราะฉะนั้น  เมื่อไหร่คุณจะต้องให้ตังฉันสำหรับสองอาทิตย์ได้  ?
โจอี้ยิ้มและพูดแบบปากไม่ตรงกับใจ  “  ฉันจะหางานทำ  ”  เขาพูด  “  ฉันโชคดี  สิ่งดีๆ  นั้นจะเกิดขึ้นเกิดฉัน  เรียกมันว่าความโชคดีของโจอี้ 
ในวันอาทิตย์  โจอี้อยู่บนเตียงตลอดเช้า  และในตอนบ่ายของต้องการที่จะออกไปเดิน  หลังจากชั่วโมงหนึ่ง  เขาได้เอากระเป๋าจากผู้หญิงคนหนึ่งในถนนฟลีทไป
ผู้หญิงคนนั้นตะโกน    หยุด  หยุด  ! 
แต่โจอี้ออกไปราว  50  เมตร  และไม่มีผู้คนอยู่ใกล้ๆ  เลย
โจอี้หัวเราะและวิ่งลงไปที่ถนนเล็กๆ  ระหว่างตึกสูง  2  ตึก  มีทางลงไปแม่น้ำ  เขาหยุดและเปิดกระเป๋า  มีเงินอยู่ในนั้น  แต่มันไม่มาก  เขาเอาเงินออกและวางกระเป๋าลงไปในแม่น้ำ
หลังจากวันนั้น  เขาเดินผ่านร้านขายหนังสือ  มีผู้คนมากมายอยู่ในนั้น  ดูหนังสืออยู่  และเขาเคลื่อนตัวไปอย่างระมัดระวังระหว่างพวกเขา  สองนาทีต่อมาเขาไปยืนอยู่หลังผู้ชายอ้วนคนหนึ่ง  และเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ  ผู้คนนั้นไม่รู้สึกว่ามือของโจอี้อยู่ที่กระเป๋าหลังของเขา  แต่ตอนนี้กระเป๋าสตางค์ของผู้ชายคนนั้นอยู่ข้างในเสื้อของโจอี้แล้ว  มันใหญ่มาก  กระเป๋าตังใหญ่  และเมื่อเขากลับบ้าน  เขาก็เอาตังให้เจ้าของบ้านสำหรับเงินค่าเช่า  อาทิตย์
“  คูณหางานได้ในวันอาทิตย์เหรอ  ?  ”  เวบเบอร์ถาม  “  ที่ไหน  กับใคร  ?    โจอี้ยิ้ม  “  ฉันบอกคุณแล้ว  ฉันโชคดี  ความโชคดีของโจอี้ 
สามเดือนต่อมา  โจอี้  แคริแกนเดินไปในถนนของลอนดอนทุกวัน  เขาขโมยกระเป๋าถือจากผู้หญิง  หรือสิ่งของจากร้านค้า  และกระเป๋าสตางค์จากประเป๋าของผู้ชาย  ในตอนเช้าเริ่มต้นของเดือนเมษายน  เขาเอากระเป๋าสตางค์ของผู้ชายแก่ใบหน้าสีแดง  โจอี้เป็นนักล้วงกระเป๋าที่ดีมาก  ผู้คนไม่เคยรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำมัน
แต่ไม่ใช่เช้านี้  ผู้ชายใบหน้าสีแดงคนนั้นเร็ว  เขากลับมา  มองโจอี้  และตะโกนว่า  “  เฮ้  !  คุณนั่นมันกระเป๋าสตางค์ของฉัน  !  เอาคืนมานี่  ! 
แต่โจอี้ก็เป็นนักวิ่งที่ดีเช่นกัน  สองนาทีต่อมาเขาอยู่ที่มุมถนนอื่น  รอบๆ  มุมถนนนั้น  และเขากระโดดขึ้นไปบนรสบัส
“  ความโชคดีของโจอี้  ”  โจอี้พูดและหัวเราะ
มีความโชคดีมากมายสำหรับโจอี้ในอาทิตย์นั้น  เขาเริ่มเรียนรู้ว่า  เงินคือพระเจ้า  ในร้านเหล้าใกล้กับบ้านของเจ้าของบ้านเช่าของเขา  เวบเบอร์ไปที่ร้านเหล้าทุกตอนเย็นและนั่ง  กับเพื่อนของเขาชื่อโกล์ดแมน
โกล์ดแมนมีร้านเหล้าในตอนเย็น  เขาเห็นเวบเบอร์และโกล์ดแมนอยู่ที่โต๊ะใกล้กับหน้าต่าง  มีผู้คนมากมายอยู่ในร้านเหล้า  โจอี้ซื้อเครื่องดื่ม  และหาที่นั่งใกล้กับเวบเบอร์และโกล์ดแมน  พวกเขาไม่เห็นโจอี้  โจอี้นั่งหลังพวกเขาและฟัง
“  แต่ฉันต้องการเงินที่จะซื้อของเมื่อผู้คนพาพวกมันมา   ”  โกล์ดแมนพูด
“  เงิน  ,  ใช่  ”  เวบเบอร์ตอบ  “  แต่  100  ปอนด์หรือมากกว่านั้น  ?  และในร้าน  ?  ไม่  ไม่  พระเจ้า  !
“  มันไม่ใช่ในร้าน  ”  โกล์ดแมนพูด  “  มันอยู่ในห้องข้างหลัง 
“  คุณมีสถานที่ดีๆ  ที่จะเก็บมันไหม  ”  เวบเบอร์พูด
โกล์ดแมนหัวเราะและพูดว่า  “  สถานที่ที่ดีมากๆ 
โจอี้นั่งดื่มเครื่องดื่มของเขาและคิด  เขารู้จักร้านของโกล์ดแมนเพราะว่ามันอยู่ถนนเดียวกันกับบ้านเวบเบอร์  โจอี้เดินผ่านมันบ่อย
หนึ่งร้อยปอนด์หรือมากกว่านั้น  “  ฉันกำลังจะมีเงิน  100  ปอนด์  ”  เขาคิด  “  ตอนนี้  ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง  !  บางทีอาจจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา  !”
เขายิ้ม  ความโชคดีของโจอี้อีกแล้ว
ดังนั้น  เงินในห้องที่อยู่ข้างหลัง  ในสถานที่ที่ดีที่สุด  แต่มันคือที่ไหน  ?
เช้าวันต่อมา  โจอี้เดินช้าๆ  ผ่านร้านของโกล์ดแมน  เขาไม่ได้เข้าไป  แต่เขามองผ่านหน้าต่าง
ผู้ชายแก่อยู่ในร้านค้าแต่เขาไม่เห็นโจอี้
โจอี้มองและเปิดประตูไปที่ห้องข้างหลังของร้าน  หลังประตูมีโต๊ะ  เก้าอี้  2  ตัว  และตู้ใบใหญ่  หรือเงินของโกล์ดแมนจะอยู่ในตู้  ?
ทันใดนั้น  ชายแก่มองขึ้นมา  และโจอี้กลับและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ในคืนนั้นเขาไม่ได้นอน  เขาเอาของๆเขาใส่ลงในกระเป๋า  นั่งลงบนเก้าอี้และรอถึงเที่ยงคืนและไปในตอนตี  2  และลงมาและออกไปจากบ้าน
มันเป็นคืนที่เย็นและโจอี้มองไปที่ดวงจันทร์บนท้องฟ้า
“  คุณเป็นพระจันทร์ที่โชคดีไหม  ”  เขาพูดและยิ้ม  “  โชคดีของโจอี้  พระจันทร์  ?  ”  เขาเดินไปที่ร้านของโกล์ดแมนและมองไปรอบๆ  ไม่มีใครอยู่บนถนน  เขาเองค้อนเล็กๆ  จากเสื้อโค้ทของเขาทุบไปที่ประตู  ทันใดนั้นเขาจับและเปิดประตูออก
โจอี้เข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว  เขาปิดประตูข้างหลังเขาและวางกระเป๋าของเขาลงบนพื้น  และเขาเดินอย่างเงียบๆ  ไปที่ประตูข้างหลังและเปิดมันและเข้าไปข้างใน  มันมืดแต่มีแสงจันทร์ผ่านเช้ามาทางหน้าต่าง  และโจอี้ก็เห็นตู้ใบใหญ่
ใช้ค้อนอันเล็กเปิดตู้ออก  มีหนังสือมากมายและกระดาษอยู่ในนั้น  กระดาษบางส่วนตกลงมาบนพื้น
“  มีใครอยู่ในนั้น  ”  โจอี้ไม่เคลื่อน  สายตาของเขามองไปรอบๆห้อง  ประตูด้านหลังของห้องถูกเปิดออก  และมีโอ  โกล์ดแมนเดินเช้ามากับไปตะเกียง  เขาเห็นโจอี้
“  อะไร  !  ”  เขาเริ่ม
โจอี้กระโดด  และคว้าจับแขนของโกล์ดแมนและจับไปไว้อยู่ข้างหลังของเขา  ทันใดนั้นเขาใช้ค้อนทุบไปที่หน้าของโกล์ดแมน
“  เงินอยู่ไหน  ”  เขาพูด  “  บอกฉันมา  ! 
 เงิน  ?  ”  โกล์ดแมนพูด  “  อะไร  เงินอะไร  ?  ”  “  ไม่มีเงินอยู่ที่นี้ 
“  มี  มันอยู่ที่นี่  ”  โจอี้พูด  “  คุณบอกเกี่ยวกับมันให้เวบเบอร์ฟัง  ตอนอยู่ที่ร้านเหล้า  100  ปอนด์  หรือมากกว่านั้น  มันอยู่ที่ไหน  ?  ”  โกล์ดแมนไม่พูดอะไร
“  บอกฉันมา  ”  โจอี้พูด  “  หรือให้ฉันหักแขนของคุณ  หักข้างหนึ่งและหักอีกข้างหนึ่ง  มันอยู่ไหน  ?  ”
โกล์ดแมนพยายามที่จะเอามือออก  เขาโกรธแต่มีมีคำพูดใดๆ  ออกมาจากเขา
โจอี้ใช้คอนทุบไปที่ตาของโกล์ดแมน  “  บอกฉัน  !  หรือจะให้ฉันตีไปที่หน้า  !  ”
“  ก็ได้  ก็ได้  มัน  มันอยู่ใต้พื้น  ”  โกล์ดแมนบอก  “  มันอยู่ใต้ตู้ 
โจอี้ดันชายแก่ไปที่ตรงข้างตู้  “  เอาออกมา  เดี๋ยวนี้  ”  เขาพูด
ชายแก่วางตะเกียงไว้ที่พื้น  และเลื่อนตู้ออกจากผนัง  ทันใดนั้นเขาก็ได้อยุ่ระหว่างตู้  และผนัง  และดึงพื้นออก  มีกล่องเล็กๆอยุ่ใต้พื้นและโกล์ดแมนเอาออกมา
โจอี้คว้ากล่องจากมือของชายแก่และเปิดมัน  มีเงินอยู่เต็มเลย  โจอี้ยิ้ม
“  ฉันรู้จักคุณ  ”  โกล์ดแมนพูดทันที  “  คุณอาศัยอยู่ที่บ้านของอัลเบิร์ต  เวบเบอร์ 
“  ใครอัลเบิร์ต  ”  โจอี้พูด  “  ไม่รู้จักเขา 
เขาเริ่มเอาเงินออกจากกล่องและใส่ลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเขา
“  ใช่  ใช่คุณ ! คุณอาศัยอยู่ที่บ้านของเขา  โกล์ดแมนพูด “  อัลเบิร์ต  บอกฉันเกี่ยวกับคุณ  คุณคือ
“  เงียบเดี๋ยวนี้  ”  โจอี้พูด  “  ใช่  คุณรู้จักฉัน  แต่จะไม่มีใครหาฉันพบ  ”  เขาหัวเราะ  “  ฉันสามารถไปได้ไกลโดนเงินนี้ 
เงินทั้งหมดตอนนี้อยู่ในกระเป๋าของโจอี้หมดแล้ว  เขาดันโกล์ดแมนออกเล็กน้อย  “  ตอนนี้กลับไปที่ห้องนอนของคุณและอยู่ในนั้น  ”  โจอี้ดันเขาอีกครั้ง  “  ไป  ไปเร็ว 
ชายแก่เริ่มเดินไปตรงข้ามห้องตะเกียง  ทันใดนั้น  เขากลับมาและตีโจอี้ที่หัวด้วยโคมไฟ
“  อ้ากก  ”  โจอี้ร้อง
โคมไฟตกและแตกลงบนพื้น  ต่อมากระดาษจากตู้  น้ำมันจากตะเกียงไหลมาที่พื้น  ถูกกับกระดาษ
โกล์ดแมนพยายามวิ่งออกจากร้านแต่โจอี้กระโดดขึ้นบนเขา  ทั้งสองตกลงไปบนพื้น  หัวของชายแก่กับผนัง  หลังจากนั้นเขาไม่เคลื่อนไหว
โจอี้ได้ยินเสียงดังออกมาจากเปลวไฟก่อนที่เขาจะเห็นพวกมัน  เขามองข้างหลังเขาเปลวไฟใหญ่และลุกลามมาครึ่งขาของโต๊ะ
โจอี้กระโดดและวิ่งออกจากร้าน  เขาหากระเป๋าของเขาหน้าประตู  และออกไปที่ถนนและเริ่มวิ่งอีก  ในสุดของถนน  เขาหยุดและมองกลับหลัง
มีเปลวไฟลามมาที่หน้าต่างแล้วในตอนนี้  และมีควันสำดำออกมาจากประตูของร้าน  เขาคิดถึงชายแก่ที่นอนอยู่บนพื้นในห้องข้างหลัง  แต่ไม่กี่นาทีต่อมา  ทันใดนั้นเขากลับไปและวิ่งครั้ง
ภายหลังสองวัน  ในวันพุธที่  10  เมษายน  1912  โจอี้อยู่ที่เซาท์แทมตันกับผู้คนหลายร้อยคน  พวกเขามาเรือลำใหม่ที่นั้น  เรื่อที่ใหญ่ที่สุดและเร็วที่สุดในโลกมันคือวันแรกสำหรับการเดินทางไปยังแอตแลนติดในนิวยอร์ก  บรรทุกมากกว่า  2,000  คน
บางคนในเซาท์แทมตันในวันนั้นเป็นผู้โดยสารของเรือ  บางคนมาเพื่อที่จะดูเรือลลำใหม่ที่มหัศจรรย์  และในนั้นโจอี้เป็นผู้ชายที่มีความสุข  เขาเป็นผู้โดยสารกับตั๋วและกระเป๋าเงินของเขา  ตั๋วไปนิวยอร์ก  ชีวิตดี  เขาคิด 

“  ความโชคดี  ของโจอี้คือมีเงินสำหรับตั๋ว ”  เขาพูดและหัวเราะ  “  และความโชคดีของโจอี้คือการพาตัวเองไปอเมริกา  ”  “  นี้คือตอนจบของชีวิตของฉัน  ”  และเขาเข้าไปในเรือไททานิก

Sister Love

SISTER  LOVE
                มาร์เซียได้พบกับฮอร์วอร์ด  คอลลินที่โบสถ์  มาร์เซียอายุ  35  ปี  ฮอร์วอร์ดอายุ  41  ปี  ฮอร์วอร์ดอาศัยอยู่กับแม่ของเขาในบ้านหลังเล็กทางตอนใต้ของเมือง  มาร์เซียอาศัยอยู่กับน้องสาวและพ่อของเขาใน อพาร์ทเมนต์บนถนนเส้นที่  3
                มาร์เซียไม่ได้ทำงาน  พ่อของเขาคือ  จอร์น  แกรนท์  เขาป่วนและไม่เคยออกจากอพาร์ทเมนต์เลย  เขาอยู่บนเตียงตลอดเวลาและต้องมีคนอยู่กับเขาเสมอ  ดังนั้นมาร์เซียจึงอยู่บ้านกับพ่อของเธอ  และจะออกไปข้างนอกเมื่อพี่สาวชื่อคารินอยู่ในบ้าน
                สองพี่น้องมีความแตกต่างกันมาก  มาร์เซียมีใบหน้าสั้นและเล็ก  และมีผมสั้นสีดำ  คารินมีอายุน้อยกว่า  10  ปี  หล่อนตัวสูง  มีผมยาวสีน้ำตาลและมีขาที่ดี  และมีผิวหนังเป็นสีน้ำตาลเนื่องจากตากแดดในฤดูร้อนบ่อยครั้งผู้คนจะพูดกับมาร์เซียว่า   น้องสาวของคุณสวยมาก  ”  บ่อยครั้งที่ผู้ชายจำนวนมากพร้อมที่จะพาคารินไปดินเนอร์หรือไปปดูหนังแต่มาร์เซียอยู่ที่บ้าน
                คารินทำงานในร้านที่อยู่ในเมือง  เมื่อไหร่ที่เธออยู่บ้าน  เธอชอบนั่งบนสวนบนหลังคาของอพาร์ทเมนต์
                วันอาทิตย์ในเดือนพฤษภาคม  เมื่อมาร์เซียกลับบ้านกับฮอร์วอร์ดครั้งแรก  เธอให้เขาพบพ่อของเธอ  แกรนท์อยู่ที่เตียง  เขามีผมสีเทาและใยหน้าหม่น  บางครั้งเขาอ่านหนังสือ  แต่ส่วนมากเขาอยู่บนเตียงและดูทีวี 
มาร์เซียพูดว่า  “  พ่อคะ  นี่ฮอร์วอร์ด  เขาทำงานที่โรงพยาบาลและเราเคยเจอกันที่โบสถ์  ฉันเคยบอกพ่อเกี่ยวกับเขาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  พ่อจำได้ไหม
พ่อบอกว่า  “  ไม่  ”  และหันหน้ากลับหันไปดูทีวี  เขาไม่สนใจเพื่อนใหม่ของลูกสาว
ทันใดนั้น  คารินเข้ามาในห้อง  เธอสวมชุดบิกินี่สีขาวและรองเท้าสีขาว  เธอยิ้มให้ฮอร์วอร์ด  และพูดว่า  “  คุณคือฮอร์วอร์ด  พี่สาวฉันมีแฟนแล้ว ”  ฮอร์วอร์ดหน้าแดงละมองดูเท้าของเขา
คารินหัวเราะและพูดว่า  “  ขึ้นมาบนสวนของอพาร์ทเมนต์  ฉันมีไวน์  พระอาทิตย์ในเช้านี้สวย  ฮอร์วอร์ดพูดว่า  โอ๊...  ”  มาร์เซียมองน้องสาวอย่างโกรธเคืองทันใดนั้เธอพูดว่า  ฉันอยากให้พ่อดื่ม  เดี๋ยวพบกับฮอร์วอร์ดขึ้นไปบนหลังคาและพูดกับฮอร์วอร์ด
                บนหลังคาอากาศร้อนมากและฮอร์วอร์ดถอดเสื้อออก  เขามองรอบๆ  มีทั้งเก้าอี้  ตัว  ร่มกันแดด  เตียงและโต๊ะที่มีแก้ว  3  แก้วและขวดไวน์ตั้งอยู่  มีแผ่นกระเบื้องปูบนพื้น  และมีผนังรอบขอบของหลังคา  มีดอกไม้อยู่ในกล่อง  นี่คือสวย    มันเยี่ยม  ”  ฮอร์วอร์ดพูด  คารินยิ้มให้เขา
“  เราไม่เห็นผู้ชายดีๆหลายคนขึ้นมาที่นี่  ”  คารินพูด  “  นั่งลงและดื่มกัน    ฮอร์วอร์ดหน้าแดงอีกครั้ง  เขาหัวเราะแบบเขิลๆ    โอ๊  เอ่อ  ขอบคุณครับ    เขาพูด  เขาพยายามไม่มองเรียวขาของเธอ  แต่มันไม่ง่ายเลย
“  ฉันมาที่นี่ทุกทีที่แดดออก  ”  คารินพูด  เธอเริ่มทาน้ำมันกันแดดบนแขนของเธอและขา  ฮอร์วอร์ดมองดู
ทันใดนั้นมาร์เซียมาถึง  ทั้ง  3  คนนั่งลงและดื่มไวน์  มาร์เซียมองฮอร์วอร์ดด้วยความรัก  เธอไม่มองคาริน  คารินมองทั้งคู่  เธอมองไปที่พี่สาวของเธอ  และมองฮอร์วอร์ด  และมองพี่สาวเธออีกครั้ง  เธอยิ้มมันไม่ใช่ยิ้มที่ดี 
หลังจากนั้นทุกวันอาทิตย์ตอนเช้า  มาร์เซียพาฮอร์วอร์ดไปบ้านเพื่อดื่มไวน์หลังกลับจาดโบสถ์  ฮอร์วอร์ดหยุดรถบนถนนนอกอพาร์ทเมนต์  และมาร์เซียพูดว่า  “  เสียงแตร  ฮอร์วอร์ด  บอกว่าราคินว่าเราอยู่ที่นี่  ทันใดนั้นเธอก็มาดื่มไวน์ 
 “  ขาของฉันอ้วนสำหรับการใส่บิกินี่  ”  เธอบอกฮอร์วอร์ด
“  ขาของคุณ  ดีมาก  ”  เขาพูดแบบอายๆ
วันหนึ่ง  จนคารินถามฮอร์วอร์ด  “  คุณทำงานเสร็จเท่าไหร่  ฮอร์วอร์ด
“  ประมาณ  6  โมง  ”  เขาบอก
“  คุณพาฉันมาที่บ้านหลังจากเสร็จงานได้ไหม ”  คารินพูด
“  ร้านของฉันอยู่ใกล้ๆ  กับโรงพยาบาล  คุณขับผ่านโดยตรง  และคุณอยู่ในถนนที่  3  คนละทางกับพวกเรา
“  ที่นั้นมีรสบัสดีๆ  ”  มาร์เซียรีบพูดอย่างรวดเร็ว  “  มันจอดอยู่ข้างนอกตึกของเรา 
  แต่รสบัสขับช้ามาก  ”  คารินพูด  “  ได้โปรดเถอะ  ฮอร์วอร์ด 
ฮอร์วอร์ดมองดูน้องสาวและอีกคนหนึ่ง   อื้ม  ได้  ”  เขาบอก
“  ขอบคุณ    คารินพูด  และจูบเขาอย่างเร็วๆ
ดังนั้นในทุกตอนเย็นเขาต้องไปส่งคารินที่บ้าน  ในวันศุกร์แรก  เขามาถึงช้าเป็นชั่วโมง  เมื่อพวกเขามาถึง  มาร์เซียอยู่ที่หน้าประตูอพาร์ทเมนต์  “  เกิดอะไรขึ้น  ”  เธอถาม  “  ทำไมคุณถึงมาช้า  ”
“  อุบัติเหตุน่ะ  ”  คารินพูด  “  รถสามคันตรงข้ามถนน  บนเนินเขาที่โรงหนัง  พวกเราไม่กลับหลังได้  มันมีรถหลายคัน  ไม่มีใครสามารถเคลื่อนที่ได้    ฮอร์วอร์ดไม่พูดอะไร  มันยาวนานในฤดูร้อนในปีนี้  มาร์เซียไปที่โบสถ์ทุกเช้าวันอาทิตย์  และคารินอยู่บ้านกับพ่อของพวกเขา  เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น  คารินไปที่เจียงกลางแดดของเธอที่หลังคา  เมื่อมาร์เซียไปถึงบนหลังคา  เธอนั่งใต้ร่ม  แต่คารินทาน้ำมันกันแดดจำนวนมากและนั่งกลางแดดในชุดบิกินี่
“  แสงอาทิตย์ไม่ดีสำหรับผิวคุณ  ”  มาร์เซียพูด
คารินหัวเราะ  “  ฮอร์วอร์ดชอบผิวของฉัน 
“  ไม่  เขาไม่ชอบ  ”  มาร์เซียพูดแบบโกรธ
“  โอ้  เขาชอบ  ”  คารินบอก  “  เขาอายมากกับผู้หญิง  แต่เขามองผิวของฉันอย่างระมัดระวัง  เขามองตลอดเวลา  บางทีเขาอาจจะชอบฉันก็ได้ 
“  หยุดนะคาริน   มาเซียพูด  “  ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น 
คารินหัวเราะ  “  เป็นอะไรเหรอ  พี่สาวของฉัน  กลัวฉันแย่งเขามาจากคุณเหรอมาเซียไม่ตอบ
วันอาทิตย์ต่อมา  ฮอร์วอร์ดโทรหามาเซียตั้งแต่เช้า
“  ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี  ”  เขาบอก  “  วันนี้ฉันจะไม่ไปโบสถ์ 
“  ที่รัก  ฉันเสียใจ  ”  มาร์เซียพูด  “  ฉันจะกลับช้าเพราะว่า  มีมีตติ้งหลังโบสถ์  ฉันคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับแอฟริกา  ”
“  โอ้  ใช่  ฉันจำได้  ”  ฮอร์วอร์ดบอก
แต่มาร์เซียผิดพลาด  ไม่มีมีตติ้งหลังเข้าโบสถ์ในตอนเช้า  มันมีในอาทิตย์หน้า  ดังนั้นเธอจึงกลับจากโบสถ์ในเวลาปกติ  ถึงบ้านในตอนตี  12  อันดับแรกเธอจึงกลับจากโบสถ์ไปดูพ่อของเธอ  แต่พ่อหลับ  ทันใดนั้นเธอโทรหาฮอร์วอร์ด  แต่มีมีคนรับ เธอคิดว่าบางทีเขาอาจจะหลับ  และแม่ของเขาไม่ได้รับโทรศัพท์  เธอไปที่ห้องนอนของเธอและสวมกระปรงยาวลายดอก  และขึ้นไปที่สวนบนหลังคา  เธอวางมือลงบนประตูที่หลังคาและหยุด  ประตูปิดครึ่งหนึ่งและเธอได้ยินเสียงใครบางคนกับคาริน  ผู้ชายคนนั้น                        ฮอร์วอร์ดรึเปล่า  ?     มาเซียฟัง
“  ฉันรู้สึกแย่กับสิ่งนี้  ”  ฮอร์วอร์ดพูด  “  เราจะต้องบอกมาเซียนะคาริน 
“  ไม่  ”  คารินพูดอย่างเร็ว  เธอหัวเราะเล็กน้อย  “  มันคือความลับของเรา  ฮอร์วอร์ด  ใช่ไหม 
“  ฉันไม่ชอบ  ”  เขาเริ่ม
“  แต่คุณรักฉัน  ฮอร์วอร์ด  ”  คารินพูด  “  ไม่ใช่มาเซีย  ?  พูดซิว่าคุณรักฉัน  ”  ทันใดนั้นมาเซียรู้สึกสั่น  “  คุณ  คุณรู้ว่าฉันรัก  ”  ฮอร์วอร์ดตอบ  “  แต่ 
คารินจูบเขา  “  มันคือความลับของเรา  โอ้  นั้นรถของคุณใช่ไหมที่รักที่จอดอยู่ข้างนอก  เราไม่ต้องการให้มาเซียมาเห็นมัน 
“  ฉันไม่ได้พารถมา  ”  ฮอร์วอร์ดพูด  “  ฉันเดินมา
“  ดี  ”  คารินพูด  “  แต่นี่มันนานล่ะ  คุณควรจะกลับไปก่อนที่เธอจะกลับมาบ้าน  เขาจูบกันอีกครั้ง
“  เจอกันพรุ่งนี้  เวลาเดิม  ที่เดิม  ”  คารินพูด  “  ไป 
มาเซียออกไปอย่างรวดเร็วและเงียบๆ  ให้ไกลจากหลังคา  และวิ่งไปที่ห้องนอนของเธอ  เธอไม่ต้องการให้ฮอร์วอร์ดหรือคารินเห็นเธอ 
เธอได้ยินทั้งสองคนคุยกัน  ทันใดนั้นประตูได้ถูกเปิดและปิดออก  ฮอร์วอร์ดไปแล้ว  มาเซียนั่งลงบนเตียงเป็นชั่วโมงพร้อมกับคำถามว่า  ตลอดเวลา  ฉันไม่สามารถออกไปทำงาน  ฉันไม่สามารถมีเพื่อนใหม่  ฉันไม่สามารถเจอคนใหม่ๆ  ฉันไปช้อปปิ้งอาทิตย์ละครั้ง  และฉันไปโบสถ์อาทิตย์ละครั้ง  ทั้งหมดนี้และฉันเจอฮอร์วอร์ด  เมื่อเขาบอกรักฉัน  และฉันรู้สึกมีความสุข  แต่ตอนนี้ล่ะ  ?
คารินมีทุกอย่าง  หน้าตาดี  งาน  เพื่อนๆ  เธอยังสาว  เธอมีผู้ชาย  ทำไม  ฮอร์วอร์ด  ทำไม  ทำไม
“  มันไม่ใช่เพราะเธอต้องการเขา  ”  มาเซียคิด  “  มันเป็นเพราะว่า  ฉันรักเขา  ”  “  เธอไม่ต้องการ  ให้ฉันมีความสุข 
ประโยคที่คารินพูดว่า  “  คุณรักฉันฮอร์วอร์ด  ไม่ใช่มาเซีย  ?  ”  “  คุณรู้ว่าฉันรัก 
มันคือเรื่องจริงรึเปล่า  ฮอร์วอร์ดรักคารินไม่ใช่ฉัน  ?  ไม่  !  เขามองแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก  เขาไม่ได้รู้จักเธอ  “  เธอไม่ได้ตั้งใจจะมีเขา  ”  มาเซียคิด
ทุกตอนเย็นในอาทิตย์นั้น  ฮอร์วอร์ดขัยรถมาบ้านคารินหลังเลิกงาน  และทุกตอนเย็นพวกเขาจะกลับช้า
อาทิตย์ถัดไป  มาเซียไม่ไปโบสถ์
“  ฉันมีเรื่องสำคัญ  ”  เธอบอกคาริน  “  ฉันโทรหาฮอร์วอร์ดและบอกเขา  และเขากำลังมาที่นี่  หลังจากโบสถ์  ฉันจะไปนอนสัก  1-2  ชั่วโมง  ”  และเธอไปที่ห้องนอนของเธอและปิดประตู
ในตอนสาย  เมื่อคารินอยู่กับพ่อ  มาเซียขึ้นไปบนสวนหลังคา  ขวดน้ำมันกันแดดของคารินวางอยู่บนโต๊ะ  และมาเซียยิ้ม
เมื่อคารินขึ้นไปบนหลังคา  มาเซียนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใต้ร่ม  ในมือถือหนังสือ
“  โอ้  นี่เรื่องสำคัญเหรอ  ??  ”  คารินถาม
“  ใช่  ขอบคุณ  ”  มาเซียพูด
คารินใส่ชุดบิกินี่ของเธอ  คือชุดใหม่สีเหลือง  เธอเปิดขวดน้ำมันกันแดด
“  โอ้  มันมีไม่มากล่ะ  ”  เธอพูด  “  ฉันต้องการมากกว่านี้  ”  เธอทาน้ำมันกันแดดลงบนขา
20  นาทีต่อมา  ฮอร์วอร์ดหยุดรถอยู่ข้างล่าง  ข้างบนหลังคาคารินและมาร์เซียได้ยินเสียงแตรรถของเขา  “  เขามาถึงล่ะ  ”  คารินพูดอย่างตื่นเต้น  “  ผู้ชายของคุณอยู่นี่  พี่สาว  ”  และเธอหัวเราะ  ใช่  มาเซียคิด  ผู้ชายของฉันไม่ใช่ของเธอคาริน
คารินกระโดดออกจากเตียงอาบแดด  เธอรีบไปที่ขอบหลังคาและมองไปข้างล่างและโบกมือไปยังฮอร์วอร์ด  เธอไม่ได้ใส่รองเท้า  และหนังที่เท้าของเธออยู่ๆ ก็หลุดอออกไป    อ้า  ”  เธอร้อง

เธอตกหลุมข้างหน้าและมือของเธอคว้าผนังแต่ด้านบนของผนังมันลื่นเกินไป  มือของเธอไม่สามารถรับมันและหลุดจากผนังเหนือขอบและเธอตกลง  ตกลง  ตกลง  ตกลง  ก่อนที่เธอจะชนกับพื้น  เธอจำได้  ลื่น...น้ำมันกันแดด...มาเซีย 

Learning Log อบรม

Learning  Log  อบรมภาคเช้า  29/10/58
เนื่องในวันที่  29-30  ตุลาคม  2558  เวลา  8.30-16.00  น.  ได้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะ  โดยวิทยากร  ผศ.ดร.ศิตา  เยี่ยมขันติถาวร  ณ  ห้องประชุมพรหมโยธี  ชั้น   4  อาคาร  19  มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช  ซึ่งตัวของดิฉันก็ได้ร่วมการเข้าอบรมในครั้งนี้ด้วย  เพื่อที่จะเก็บไว้เป็นประสบการณ์เผื่อในอนาคตในการสอนภาษาอังกฤษ  โดยการใช้เทคนิคต่าง ๆ ไปสอนให้กับเด็กนักเรียนได้อีกด้วย  ซึ่งในการอบรมครั้งนี้ก็มีนักศึกษาชั้นปีที่  3  คณะครุศาสตร์  หลักสูตรภาษาอังกฤษและอาจารย์จากโรงเรียนประถมและมัธยมในจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้าร่วมอบรมด้วย
ซึ่งเริ่มงานโดย  ดร.สุธินต์  หนูแก้ว  กล่าวเปิดงาน  และ  ดร.วิมล  ดำศรี  อธิการบดี  มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชได้กล่าวต้อนรับวิทยากร  และในช่วงแรกจะเป็นช่วง  Beyond  Language  Learning  โดยเป็นการเสวนาวิชาการวิจัย  โดย  ดร.  สันติ  หนูแก้ว , อาจารย์สุนทร  บุญแก้ว  และ  ผศ.ดร.ประกาศิต  สิทธิ์ธิติกุล  เป็นผู้ดำเนินรายการ  โดย  ผศ.ดร.  ประกาศิตได้เกริ่นไว้ว่าครูในศตวรรษที่  21  เนี่ยจะต้องมี  5  ในการเป็นครู  คือ  C1  คือ  Communication , C2  คือ  Cultural  C3  คือ  Connection , C4  คือ  Comparison  และ  C5  คือ  Community
ซึ่งทางด้าน  ดร.สุธินต์  หนูแก้ว  ก็ได้เสนอแนวคิดว่าจริง ๆ ครูในศตวรรษที่  21  จริง ๆ แล้วเนี่ยจะต้องมีทั้งหมด  7  C  ด้วยกัน  ซึ่งประกอบด้วย  C1  คือ  Critical  Thinking  and  Problem  Solving , C2  คือ  Creative  and  Innovation  ซึ่งก็คือการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหาและทักษะการสร้างสรรค์และนวัตธรรม ) , C3  คือ  Cross  Cultural  Understanding , C4  คือ  Collaboration  Teamwork  and  Leadership , C5  คือ  Communication  Information  and  media  Literacy , C6  คือ  Computing  and  ICT  Literacy  และ  C7  คือ  Carees  and  Learning  Skill
และทางด้านของอาจารย์สุนทร  บุญแก้ว  ซึ่งเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ได้เสนอผลงานของตัวเอง  โดยได้พานักศึกษาชั้นปีที่  1  สาขาการท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เนี่ยต้องเดินทางไปอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์  เป็นเวลา  3  เดือน  และต้องไปทุกคน  โดยให้เด็กแบ่งเป็นทีม ๆ ไป  โดยช่วยเหลือกันเองในทีม  ทำทุกอย่างให้ได้  สื่อสารให้ได้ด้วยตนเองในการอยู่ที่ต่างประเทศ  ต่างภาษาและต่างวัฒนธรรม  เพื่อให้เด็กได้มีการพัฒนาทักษะในการใช้การสื่อสารภาษาอังกฤษ  รวมถึงการหาตังค์และการเรียนวัฒนธรรมของบ้านเมืองเขาว่าผู้คนที่นั่นเป็นอย่างไรและเราต้องปฏิบัติตัวอย่างไรให้เหมาะสมกับบ้านเมืองของเขา  ซึ่งเมื่อครบเวลาเดก ๆ จะบอกว่าขออยู่ต่อได้ไหม  ก็แสดงว่าประสบผลสำเร็จ  เพราะเด็ก ๆ ชอบอยากที่จะเรียนรู้
                และเมื่อการเสวนาวิชาการวิจัยเสร็จสิ้นก็ได้เข้าสู่การอบรมโดย  ผศ.ดร.ศิตา  เยี่ยมขันติถาวร  เกี่ยวกับเรื่องภาษาเพื่อการสื่อสาร  ซึ่งจริง ๆ แล้วภาษาที่คนใช้มากที่สุดในโลกจะเป็นภาษาแมนดาริน , ภาษาฮินดู , ภาษาสเปน  แล้วถึงจะเป็นภาษาอังกฤษ  ซึ่งเราก็จะเข้าใจผิดคิดว่าภาษาอังกฤษคนใช้มากที่สุด  และก็บรรยายถึงการใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษในภาษาไทย  ซึ่งบางคำจะไม่ได้ใช้ในภาษาอังกฤษจริง ๆ และก็เข้าสู่การพักเที่ยง
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือการอบรมเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณการทักษะ  โดย  ผศ.ดร.ศิตา  ขันติเยี่ยมถาวร  ในช่วงเช้า  ซึ่งก็ได้เนื้อหาสาระในการใช้ภาษาอังกฤษได้พอสมควรเลยทีเดียว  และจากที่อาจารย์สุนทร  บุญแก้วได้มาแลกเปลี่ยนความคิดให้เด็กไปศึกษาไปพัฒนาภาษาอังกฤษในต่างประเทศ  ซึ่งดิฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก  เพราะทำให้เด็กได้ฝึกสนทนาสื่อสารกับเข้าของภาษา  จะทำให้เด็กสามารถพัฒนาทางด้านภาษาอังกฤษของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น










Learing  Log  อบรมภาคบ่าย  29/10/58
เนื่องในวันที่  29  ตุลาคม  2558  ได้มีการอบรมเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะ  โดยในช่วงบ่ายของวันนี้  ผศ.ดร.ศิตา  เยี่ยมขันติถาวรได้อบรมเกี่ยวกับเรื่องของการใช้ภาษาอังกฤษของคนในยุคปัจจุบัน  ก็คือการพูดทับศัพท์ภาษาอังกฤษของคนไทยนั่นเอง  ซึ่งก็จะมีหลากหลายตัวอย่างให้ดูว่าคำไหนใช้ได้จริง ๆ ในภาษาอังกฤษ  และคำไหนไม่มีจริงหรือใช้ไม่ได้ในภาษาอังกฤษจริง ๆ
ซึ่งต่อมาก็ให้เด็ก ๆ และอาจารย์ในห้องอบรมหาคำศัพท์ภายในห้อง  ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมก็สามารถที่จะหาและตอบคำศัพท์ได้หมด  ซึ่งในการทำกิจกรรมดังกล่าวนี้ก็จะทำให้เราเห็นคำศัพท์นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในการเรียนรู้ภาษาอย่างมาก   และเราสามารถเรียนรู้ได้ง่าย  โดยเริ่มจากสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง  เมื่อเรามีและรู้จักคำศัพท์มาก  เราก็จะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น
ต่อมาก็คือการอบรมเกี่ยวกับการออกเสียงภาอังกฤษ  ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับคนไทยอย่างมาก  เพราะสื่อสารไม่ได้โดยออกเสียงผิด  และวิทยากรจึงได้สอนและให้ออกเสียงพยัญชนะและเสียงสระที่ถูกต้องว่าเป็นยังไง  และการออกเสียงที่ถูกต้องนั้นจะต้องออกมาจากอวัยวะ  ซึ่งกิจกรรมนี้ก็เป็นกิจกรรมที่สนุกมาก  เพราะผู้เข้าอบรมต่างก็ได้ฝึกการออกเสียงภาษาของตัวเอง
                และสุดท้ายสำหรับการอบรมในวันนี้ก็คือ  Role  Play  ซึ่งก็คือ  การแสดงบทบาทสมมตินั่นเอง  ซึ่งจะให้ผู้เรียนเนี่ยแสดง  Role  Play  กันและให้ครูผู้สอนเป็นผู้  ซึ่งให้ผู้เรียนแสดงเกี่ยวกับชีวิตประจำวันหรือสิ่งที่เคยพบเจอในชีวิต  ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความสนใจอยากที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจด้วยตัวเอง  ว่าเราจะต้องแสดงบทบาทสมมติอย่างไร  ซึ่งจะก่อให้เกิดความบันเทิงใจภายในห้องเรียนได้อีกด้วย  และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือการอบรมเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบ





Learning  Log  อบรมภาคเช้า  30/10/58
                เนื่องในวันที่  29-30  ตุลาคม  2558  เวลา  8.30-16.00  น.  ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะ  ซึ่งในวันนี้ก็คือการอบรมภาคเช้าของวันที่  30  ตุลาคม  2558  ซึ่งวิทยากรในการอบรมครั้งนี้ก็คือ  ผศ.ดร.ศิตา  เยี่ยมขันติถาวร  วันนี้ในช่วงเช้าเนื้อหาจะเน้นมากหน่อย  เพราะช่วงบ่ายวิทยากรจะให้  workshop  ซึ่งก็จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับแนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นความเหมาะสมในการใช้ภาษา  และแนวการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา
                ซึ่งในช่วงแรกท่านวิยากรก็ได้พูดถึงวิธีการสอนในแบบต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป  ดังนี้ก็คือมีวิธีการสอนแบบไวยากรณ์และแปล  ( The  Grammar  Transtation  Method )  คือ  เน้นการเรียนไวยากรณ์และการแปล , วิธีสอนแบบตรง  ( The  Direct  Method )  คือ  เน้นการพูด , วิธีสอนแบบฟัง – พูด  ( The  Audio  Lingual  Method ป  คือ  เริ่มจากการฟัง-พูดเป็นพื้นฐาน  นำไปสู่การอ่านและเขียน , วิธีสอนแบบเงียบ  ( The  Silent  woy )  คือ  เน้นความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ , วิธีสอนตามแนวธรรมชาติ  ( The  Vatural  Approach )  คือ  การรับรู้ตามธรรมชาติโดยไม่มีใครสอน , วิธีสอนแบบชักชวน  Suggestopedia )  คือ  วิธีสอนแบบชักชวน , วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง  คือ  การที่ฝึกฝนบ่อย ๆ หรือเก็บสะสมประสบการณ์ต่าง ๆ ก็จะสามารถนึกและถ่ายทอดได้  เช่น  การจำ  ก็เกิดจากการฝึกท่องจำนั่นเอง , การเรียนรู้แบบร่วมมือ  ( Cooperative  Learning )  คือ  การให้ผู้เรียนทำงานร่วมกับผู้อื่น , การเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน  ( Task  Bosed  Learning )  คือ  การใช้ภาระงานเป็นหลัก , การเรียนรู้จากการทำโครงงาน  ( Project  Based  Learning )  คือ  การให้ผู้เรียนทำโครงงาน , แนวการสอนภาษาแบบกำหนดสถานการณ์เน้นผู้เรียน  ผู้สอนและสถานการณ์จำลอง , แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ( Communicative  language  Teaching )  มุ่งเน้นความสำคัญของผู้เรียน  และการสอนที่เน้นสาระการเรียนรู้  คือ  การนำเนื้อหามาบูรณาการกับการสอนภาษาทั้ง   4  ทักษะ
                ซึ่งกล่าวมาทั้งหมดนี้ก็คือการอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะในภาคเช้า  โดยวิทยากร  ผศ.ดร.ศิตา  ซึ่งในภาคเช้านี้ก็จะเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการสอนแบบต่าง ๆ ว่าเราต้องใช้อย่างไร  ใช้วิธีการสอนแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับเด็กและจุดประสงค์ของเราที่ต้องการจะพัฒนาเด็ก  และวิธีการสอนต่าง ๆ เหล่านี้ครูยุคใหม่ต้องนำไปปรับใช้ในการจัดการเรียนรู้ภายในห้องเรียนของตนเอง  ซึ่งทำให้เราได้สั่งสมประสบการณ์ไว้เพื่อนำไปใช้กับเด็กนักเรียนของเราในอนาคต
Learning  Log  อบรมภาคบ่าย  30/10/58
                ในการอบรมช่วงบ่ายของวันที่  30  ตุลาคม  2558  นั้น  วิทยากรก็ยังคงเป็น  ผศ.ดร.ศิตา  เยี่ยมขันติถาวร  ได้ให้ผู้เข้าอบรมดูคลิปวิดีโอ  ซึ่งเป็นรายการที่จะแนะนำให้ผู้เข้าอบรมได้ไปดูและศึกษาภาษาอังกฤษจากคลิปวิดีโอจากรายการและมีการให้ผู้เข้าอบรมมีกิจกรรม  workshop  นั่นก็คือการเล่นเกมส์ต่าง ๆ โดยใช้ภาษาอังกฤษ  และพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของแต่ละคนไปในตัวได้อีกด้วย
                ซึ่งในช่วงแรกของภาคบ่ายวันนี้  ท่านวิทยากรก็ได้ให้ผู้ที่มาเข้าอบรมทุกคนได้ดูคลิปวิดีโอ  วึ่ง  ผศ.ดร.ศิตา  เยี่ยมขันติถาวร  ได้ร่วมเป็นพิธีกรอยู่ด้วย  มีจำนวน  2  รายการด้วยกัน  รายการแรกคือ  กด  Like  วันทีน  และรายการ  Hello  English  ซึ่งรายการทั้งสองนี้จะเป็นรายการนอกสถานที่  พาไปยังสถานที่ต่าง ๆ สอนคำศัพท์ต่าง ๆ การออกเสียงคำศัพท์แต่ละคำ  และก็มีตัวอย่างให้ดูอีกด้วย
                สำหรับในช่วงต่อมาก็จะเริ่มเป็นในส่วนของกิจกรรม  workshop  ก็คือท่านวิทยากรได้ให้ผู้เข้าอบรมทุกคนร่วมกันเล่นเกมส์ชื่อว่า  Tik  Tac  Toc  ซึ่งจะให้ผู้เข้าอบรมเนี่ยจับคู่กัน  และก็จะให้ร้องเพลงและก็จะมีท่าทางเต้นประกอบด้วย  ซึ่งคนที่แพ้จะต้องต่อแถวคนที่ชนะไปเรื่อย ๆ จนเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว  ซึ่งเกมส์นี้จะเป็นการฝึกพัฒนาทักษะของเราได้ดีเลยทีเดียว  เพราะต้องฟังต้องร้องและทำท่าตามให้ถูกต้อง
                และนอกจากนี้ในช่วงต่อมาก็คือ  การเล่านิทานนั่นเอง  ก็คือจะให้ผู้เข้าอบรมทุกคนส่งลูกบอลต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ ถ้าลูกบอลตกอยู่ที่ใคร  คนนั้นจะต้องออกมาเล่านิทานให้ทุกคนฟัง  หลังจากนั้นก็มให้แบ่งกลุ่ม  ให้แต่ละกลุ่มวาดรูปนิทานที่เล่า  และให้สรุปเพียง  3  ประโยคเท่านั้น  เพื่อที่จะไปนำเสนอหน้าห้องประชุม  ซึ่งกิจกรรมนี้จะทำให้เรามีความคิดพัฒนาทักษะของเราด้วย
                ซึ่งในการอบรมภาคบ่ายนี้ก็จะเน้นการทำกิจกรรมหรือการ  Workshop  ก็คือการให้ดูคลิปวิดีโอ  การให้เล่นเกมส์  การให้เล่านิทาน  ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้มีความคิดพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของเราได้ดีมากเลยทีเดียว  ซึ่งเราสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนกับเด็กนักเรียนสมัยนี้ได้ดีเลยทีเดียว  จะทำให้ฝึกให้เรารู้จักคิด  รู้จักแก้ปัญหา  และมีความคิดสร้างสรรค์ได้อีกด้วย  ซึ่งการอบรมนี้ทำให้ผู้เข้าอบรมรู้สึกสนุกและได้ความรู้ไปเยอะพอสมควรเลย  และก็ไม่น่าเบื่ออีรกด้วย
               


Learning Log

            Learning Log ในห้องเรียน 1
            สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนนั้นจะเกี่ยวกับการที่นักเรียนจะเรียนรู้อย่างไรให้เกิดการเข้าใจและเกิดประสิทธิภาพต่อนักเรียน และครูผู้สอนควรมีวิธีการอย่างไรเพื่อที่จะให้นักเรียนเข้าใจการสอนของครูมากที่สุด และยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแปลตาม Tense ว่าควรจะแปลยังไง ใช้คำอย่างไร ให้สั้น กะทัดรัด โดยที่ความหมายยังคงเดิม
            การเรียนรู้อย่างเข้าใจนั้น คือ Comprehensible (Input) = I + 1 ซึ่ง I = Background Knowledge ของนักเรียน คือ ความรู้พื้นฐานของนักเรียนนั่นเอง 1 = Teacher (+1 ก็คือเมื่อครูรู้ความรู้เดิมของนักเรียนแล้ว ก็ปรับการสอนให้ยากกว่าความรู้พื้นฐานที่มีอยู่ของเด็ก 1 ระดับ)สำหรับสูตรนี้ความคิดของดิฉันก็คือก่อนที่ครูจะทำการสอน ครูจะต้องสำรวจและประเมินตัวเด็กนักเรียนก่อนว่ามีความรู้พื้นฐานอยู่ในระดับไหน แล้วจึงปรับการสอนให้ยากกว่าที่นักเรียนรู้มาแล้ว เพิ่มขึ้น 1 ระดับ เพื่อที่จะให้นักเรียนได้เข้าใจในเนื้อหาและการสอนที่ไม่ยากเกินความสามารถของนักเรียน
            การแปลตาม Tense อันดับแรกเมื่อเห็นประโยคต่างๆ เราจะต้องดู Tense ก่อนว่าเป็น Tense อะไร เป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออดีต จบไปแล้วหรือยังทำต่อ ซึ่งเราก็ดูได้จากกริยานั้นๆ เมื่อเรารู้ว่าเราต้องแปลตาม Tense อย่างไร เราก็จะต้องแปลให้ประโยคนั้นสั้น กะทัดรัด ได้ใจความและสมบูรณ์ เช่น
            He lived in Nakhon Si Thammarat for a year.
            He had lived in Nakhon Si Thammarat for a year.     
จากประโยคทั้งสองประโยคนี้จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของ Tense ซึ่งก็จะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป ซึ่งในประโยคแรกจะเป็น Past Simple Tense คือเหตุการณ์ที่จบและสิ้นสุดลงไปแล้วในอดีต ส่วนประโยคที่ 2 จะเป็น Present Perfect Tense คือเหตุการณ์ที่ทำไปแล้วก่อนหน้านี้นั่นเอง
            อย่างไรก็ตามดิฉันก็ได้มีการศึกษาค้นคว้านอกห้องเรียน คือ การฟังเพลงจากเว็บไซต์ยูทูป เริ่มฟังจากเพลงที่มีซับภาษาอังกฤษก่อนแล้วจึงลองมาฟังแบบไม่มีเนื้อร้องมาให้ เพื่อฝึกทักษะในการฟัง และกลับไปทบทวนเรื่อง Tense ให้จำมากยิ่งขึ้น
            ทั้งหมดนี้จึงสรุปได้ว่า การที่จะสอนให้นักเรียนเข้าใจนั้น ครูผู้สอนจะต้องรู้พื้นฐานความรู้เดิมของเด็กนักเรียนก่อน จึงค่อยปรับเนื้อหาการสอนให้สอดคล้องกับเด็ก คือ จะต้องปรับระดับให้ยากกว่าความรู้เดิมเพิ่มขึ้น  1 ระดับ เพื่อให้เด็กเข้าใจง่าย ไม่ยากและซับซ้อนเกินไป ส่วนในเรื่องของการแปลนั้น เราจะต้องดู Tense ก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเราเข้าใจ Tense แล้วเราก็จะสามารถแปลประโยคนั้นๆออกมาได้อย่างถูกต้อง และต้องสั้น กะทัดรัด ได้ใจความ












                                                Learning Log ในห้องเรียน3
            ในการแปลนั้น ผู้แปลจะต้องแปลให้ถูกต้อง สั้น กะทัดรัด แต่ได้ใจความครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งก่อนอื่นนั้น เมื่อเรามีบทความหรือประโยคที่เราจะแปล เราจะต้องเริ่มดูจาก Tense ก่อนเป็นหลัก เนื่องจากผู้แปลจะได้รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตและทำต่อเนื่องกันหรือไม่ เพราะในภาษาอังกฤษนั้นจะต้องคำนึงถึง Tense หรือกาลเป็นหลัก ซึ่งไม่เหมือนกันกับในภาษาไทยของเรา เพราะในภาษาไทยนั้นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเวลาที่ชัดเจน คำกริยาที่ใช้ก็ยังคงเป็นคำเดิมทุกเวลา แต่เมื่อเป็นภาษาอังกฤษนั้น ถ้าเวลาเปลี่ยน กริยาก็จะเปลี่ยนรูปไปต่าง Tense ต่างๆ
            สำหรับสิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนก็คือเรื่อง Tense ว่าควรใช้อย่างไร ใช้เมื่อใด Tense นั้นมีอยู่ทั้งหมด 12 Tense ซึ่งจะแบ่งออกเป็น Past, Present และ Future ซึ่งในแต่ละส่วนก็จะแยกย่อยออกไปอีก คือ Past ก็จะมี Past Simple จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต, Past Continuous จะเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต, Past Perfect จะเป็นเหตุการณ์ที่มีผลสมบูรณ์ในอดีตและจบลงแล้วในอดีต, Past Perfect Continuous จะเป็นเหตุการณ์ในอดีตซึ่งกระทำต่อเนื่องตลอดไม่มีเหตุการณ์อื่นแทรก ต่อมา Present ก็จะมี Present Simple จะเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจริง เป็นปัจจุบันหรือกระทำจนเป็นนิสัย, Present Continuous จะเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะที่พูดหรือทำ, Present Perfect จะเป็นเหตุการณ์ที่ทำแล้วในอดีตแต่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน, Present Perfect Continuous จะเป็นเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีเหตุการณ์ใดมาแทรกเลย และสุดท้าย Future ก็จะมี Future Simpleจะเป็นเหตุการณ์ที่คาดไว้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต, Future Continuous จะเป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะวางแผนในอนาคต, Future Perfect จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน เสร็จสมบูรณ์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต, Future Perfect Continuous จะเป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะทำอย่างต่อเนื่องในอนาคต
            สำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนของดิฉันก็คือการไปค้นหาทริคในการจำ Tense ทั้ง 12 นี้ให้ได้และเข้าใจง่ายที่สุด
Step 1 ก็คือเราสามารถแบ่งช่วงเวลาในการเกิดได้ 3 ช่วง คือ
Past
Present
Future
จากนั้นก็แบ่งตามประเภทได้อีก 4 แบบ

Past
Present
Future
Simple



Continuous



Perfect



Perfect Continuous



Step 2 คือเริ่มจาก Present ก่อน มีรูปแบบดังนี้

Past
Present
Future
Simple

S+V.1

Continuous

S+is,am,are+V.ing

Perfect

S+has/have+V.3

Perfect Continuous

S+has/have+been+V.ing

Step3 คือผัน Tense ไปสู่รูปอดีต คือผันกริยาที่ติดกับประธานที่สุด ในอยู่ในรูปกริยาช่อง 2

Past
Present
Future
Simple
S+V.2
S+V.1

Continuous
S+was,were+V.ing
S+is,am,are+V.ing

Perfect
S+had+V.3
S+has/have+V.3

Perfect Continuous
S+had+been+V.ing
S+has/have+been+V.ing

Step 4 นั้นให้เติม will ตามหลังประธานทั้งหมดใน Future

Past
Present
Future
Simple
S+V.2
S+V.1
S+will+V.1
Continuous
S+was,were+V.ing
S+is,am,are+V.ing
S+will+is,am,are+V.ing
Perfect
S+had+V.3
S+has/have+V.3
S+will+has/have+V.3
Perfect Continuous
S+had+been+V.ing
S+has/have+been+V.ing
S+will+has/have+been+V.ing
            ดังนั้นในการแปลภาษาอังกฤษ ปัจจัยหลักที่สำคัญที่เราต้องรู้และทำความเข้าใจให้ละเอียดให้ชัดเจนก่อนนั้นก็คือ Tense เพื่อที่จะทำให้เรานั้นสามารถแปลประโยคต่างๆได้อย่างเข้าใจและถูกต้อง เพราะในภาษาอังกฤษ Tense ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะคำกริยาในแต่ละประโยคที่เราจะแปลนั้นจะเปลี่ยนไปตาม Tense ต่างๆ ทั้ง 12 Tense ซึ่งตรงกันข้ามกับภาษาไทยที่ใช้คำกริยาเดิมๆในทุกๆช่วงเวลา เพราะฉะนั้นผู้แปลจึงควรจำวิธีการและโครงสร้างของการใช้ Tense ทั้ง 12 นี้ให้แม่นยำ เพื่อที่จะทำให้การแปลนั้นถูกต้องและก็มีใจความที่ครบถ้วนสมบูรณ์












                                    Learning Log ในห้องเรียน 4
            ในการแปลประโยคต่างๆให้ถูกต้อง ได้ใจความนั้น เราจะต้องรู้คำศัพท์ต่างๆและ Tense ของประโยคนั้นๆที่เราต้องการจะแปล นอกเหนือจาก 2 อย่างที่กล่าวไปแล้วนั้น อีกอย่างหนึ่งที่เราจะต้องรู้นั้นก็คือในส่วนของโครงสร้างประโยคว่าเป็นแค่ Phrase (วลี) หรือเป็น Clause (อนุประโยค) เพื่อที่จะทำให้เราสามารถแปลประโยคต่างๆให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
            สำหรับอนุประโยคหรือ Clause นั้นคือกลุ่มคำ (a group of word) ที่มีกริยาแท้ (Finite Verbs) แต่จะไม่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง จะเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ก็คือ Noun Clause, Adjective Clause และ Adverb Clause ซึ่งทั้ง 3 Clause นี้ก็จะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป
            การเรียนรู้ในห้องเรียนวันนี้ก็คือเรื่องของ Adjective Clause คือประโยคที่ทำหน้าที่ขยายคำนามหรือคำสรรพนาม ลักษณะของ Adjective Clause จะนำหน้าด้วยคำเชื่อม หรือ Connectives ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ก็คือ
1.            Relative Pronoun   :   Who, Whom, That, Which, Whose
2.            Relative Adverb    :   When, Where, Why
และก็จะมี Adjective Clause แบบที่มี comma (non-defining clause) คือ clause ที่ขยาย
-                    noun ที่มีเพียงหนึ่ง เช่น Here is my father, who will help you.
-                   Noun ที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น Hua Hin, which I live in, is very peaceful.
-                   Noun ที่ใช้ในความหมายทั่วไป เช่น Air, which is essential to us, costs nothing.
-                   Noun ที่แสดงจำนวนทั้งหมดที่มี เช่น I have a brother, who is a doctor.
 และ Adjective clause  แบบที่ไม่มี comma (defining clause) คือ clause ที่ไปขยาย noun เพื่อทำให้ noun นั้นชี้เฉพาะ (noun นั้นจึงจะต้องมี the ขยายอยู่เกือบเสมอ) เช่น
-                   I like the man who is speaking.           - The town which I will visit is Hua Hin.
จะสังเกตได้ว่าถ้า Adjective clause ที่มี comma ออกจากประโยค ประโยคนั้นจะอ่าน
แล้วรู้เรื่อง เช่น Here my father หรือ Hua Hin is very peaceful แต่ถ้า Adjective clause ที่ไม่มี comma จะเอาออกจากประโยคไม่ได้ เพราะประโยคนั้นจะไม่สมบูรณ์ หรือผิดใจความ เช่น I like the man (ไม่รู้ว่าmanไหน) และ The town is Hua Hin (ไม่ได้ใจความ)
            ส่วนในเรื่องของการใช้ relative words ซึ่งจะต้องนำหน้า Adjective clause เสมอทุกประโยค ซึ่งจะมี who, whom, that, which, whose, when, where และ why
            การใช้ who และ which ซึ่ง who ใช้แทนคนที่ทำหน้าที่ประธานในประโยค ขยายโดยไม่ต้องคำนึงถึงเพศ เช่น That is the man who came to our house yesterday. และ which ใช้กับสิ่งของ สามารถใช้แทนได้ทั้งประธานและกรรมในประโยคขยาย เช่น The book, which I bought for twenty dollars, is worth ten dollars more.
            การใช้ whom ส่วนมากจะใช้ในภาษาวรรณกรรมและภาษาทางการเท่านั้น โดยใช้แทนคำนามที่เป็นคน ซึ่งเป็นกรรมของกริยาหรือบุพบทในประโยคขยาย ในภาษาพูดเท่านั้น whom อาจจะถูกละหรือใช้ that แทน เช่น That is the man whom we met yesterday. ซึ่งการเลือกใช้ who หรือ whom นั้นขึ้นอยู่กับหน้าที่ของมันในประโยค
            การใช้ whose ก็คือคล้ายกับการใช้ his หรือ her ก็คือการแสดงความเป็นเจ้าของนั่นเอง โดยสามารถใช้ได้กับทั้งคนและสิ่งของ เช่น That is the man whose house we saw just now.
            การใช้ where ใช้บอกสถานที่ในความหมายเดียวกับ at which และ in which เช่น That is the school where (at which) I used to teach. และ We went on to Rome, where (in which) we stopped a week.
            การใช้ when และ why ซึ่ง when ใช้เมื่อระบุถึงเวลา เช่น On Monday, when I saw you, I was in a hurry. และ why ใช้แสดงเหตุผล เช่น The reason why he did it will always remain a mystery.
            การใช้ that ถือเป็นคำ relative word ที่ใช้ได้กับสิ่งของทั่วไป ใช้ได้กับทั้งคำเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น That’s the book that I bought yesterday. และ Those are the stamps that I have collected. และ that สามารถใช้แทน who, when, และ where ได้อีกด้วย เช่น That’s the man who (or that) came to our house yesterday. และ By the time that you are dressed, breakfast will be ready. และ They are taken up mountains, anywhere that a mule can find a road.
            และที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็คือการใช้และหน้าที่ของ Adjective clause ซึ่งเรามักจะเจอประโยคที่เป็น Adjective clause นี้บ่อยๆ ทั้งในหนังสือพิมพ์หรือหนังสือทั่วไป หรือบทความต่างๆ ซึ่งเมื่อเราเข้าใจในความหมายและหน้าที่ของ Adjective clause แล้ว เราก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นและสามารถแปลออกมาได้อย่างถูกต้องว่า Adjective clause นี้มันขยายอะไร และตรงไหนของประโยค ซึ่ง Adjective clause นี้ก็จะทำหน้าที่ขยายคำนามหรือสรรพนาม โดยจะมี relative words นำหน้าอยู่เสมอนั่นเอง










                                                Learning Log ในห้องเรียน 6
            สิ่งที่ได้เรียนรู้ในสัปดาห์นี้คือเรียนเกี่ยวกับเรื่อง Adjective clause และ Adjective phrase ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร คืออย่างไร ซึ่ง Adjective clause นั้นจะต้องมี Relative pronouns เป็นตัวเชื่อมประโยค คำไหนต้องใช้กับคน สัตว์หรือสิ่งของ หรือความเป็นเจ้าของต้องใช้ relative pronoun ตัวไหน และได้สอนเกี่ยวกับการลดรูปจาก Adjective clause ให้กลายมาเป็น Adjective phrase ว่าควรลดรูปอย่างไร มีทั้งแบบ active ซึ่งคือประธานของประโยคเป็นผู้กระทำ และเป็นแบบ passive คือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ
            สำหรับเรื่อง Adjective clause ประโยคจะต้องมี Relative Pronouns เป็นคำเชื่อมอยู่เสมอ การใช้ Relative Pronouns คือ who และ whom จะใช้แทนนามที่เป็นบุคคล whoจะใช้ต่อเมื่อบุคคลนั้นเป็นผู้กระทำ แต่whomจะใช้เมื่อเป็นกรรมหรือเป็นผู้ถูกกระทำในประโยคนั้นๆ, whose จะใช้แทนนามที่เป็นบุคคล เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของของคำนามที่อยู่ข้างหลัง, which จะใช้แทนนามที่เป็นสัตว์ สิ่งของ ทั้งในรูปที่เป็นประธานและเป็นกรรม , whenใช้แทนนามที่เกี่ยวกับเวลา/วัน/เดือน/ปี , whyใช้แทนนามที่เป็นเหตุผล, where ใช้แทนนามที่เกี่ยวกับสถานที่, that ใช้แทนได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของและสถานที่ ทั้งหมดนี้ก็คือการใช้ Relative Pronouns ใน Adjective clause
            สำหรับเรื่องของการลดรูป ก็คือการลดรูปจาก Adjective clause ในมาอยู่ในรูปของ Adjective phrase คือ คำนำหน้าหรือ Relative Pronouns ที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค สามารถลดรูปได้ คือ
            การลดรูปจาก Adjective clause ให้อยู่ในรูปของ Adjective phrase ที่เป็น active voice ก็คือ
1.            ตัด Relative Pronouns ในประโยคออก
2.            เปลี่ยน Verb ให้เป็น Verb ช่องที่ 1 และเติม ing ก็จะกลายเป็น Adjective phrase ที่เป็น active voice
การลดรูปจาก Adjective clause ให้อยู่ในรูปของ Adjective phrase ที่เป็น passive
Voice ก็คือ
1.            ตัด Relative Pronouns ในประโยคออก
2.            ตัด Verb to be ออก เหลือไว้แต่ Verb ช่องที่ 3 ก็จะกลายเป็น Adjective phrase ที่เป็น
Passive voice
            ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ก็คือเรื่องของการใช้ Relative Pronouns ใน Adjective clause ว่าควรใช้อย่างไร เนื่องจากการเขียน Adjective clause นั้นจะต้องมี Relative Pronouns อยู่เสมอเพื่อให้ประโยคนั้นมีความหมายที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเวลาอ่าน Adjective clause ทั้งหลาย และได้รู้ว่าวิธีการลดรูปจากประโยค Adjective clause ให้มาเป็น Adjective phrase นั้นทำอย่างไร โดยมีหลักการที่ง่ายๆ ทำให้สามารถเข้าใจในการลดรูปของ Adjective clause ให้เป็น Adjective phrase ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งในรูปของประโยค active voice และประโยค passive voice








                                    Learning Log ในห้องเรียน 7
            การเรียนรู้ในห้องเรียนสัปดาห์นี้ก็คือเรียนเกี่ยวกับเรื่องของ If-Clause ซึ่งเป็นประโยคแสดงถึงเงื่อนไขต่างๆนั้นเอง ซึ่งจะพบเจอได้ทั้งในหนังสือหรืองานเขียนต่างๆ If-Clause จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ ประเภทที่ 2 คือเป็นการสมมติในปัจจุบัน แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ประเภทที่ 3 คือเป็นการสมมติในอดีต แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต ซึ่งเรามาทำความรู้จักกับ If-Clause ทั้ง 3 กันเลย
            If-Clause ประเภทที่ 1 (present real) เป็นการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
            If + Present Simple, Will + V.1
เช่น      If I have enough money, I will go to Japan.
            If you eat too much, you will get fat.
            If-Clause ประเภทที่ 2 เป็นการสมมติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ คือ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับความจริงในปัจจุบันหรืออนาคต (present unreal)
            If + Past Simple, Would + V.1
เช่น      If I knew her name, I would tell you. (จากประโยคนี้จริงๆแล้วไม่รู้จักชื่อเธอ)
            If I were you, I would call her. (จากประโยคนี้จริงๆแล้วฉันไม่ได้เป็นคุณ)
            If-Clause ประเภทที่ 3 (past unreal) เป็นการสมมติในอดีต แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต
            If + Past Perfect, Would have + V.3
เช่น      If you had worked hard, you would have passed your exam (จริงๆแล้วสอบตกไปแล้ว)
            If I met you before, we would have been together. (จริงๆแล้วฉันพบคุณช้าไป)
            ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือ If-Clause ประเภทต่างๆ ทั้ง 3 ประเภท คือ Present Real, Present Unreal และ Past Unreal พร้อมกับโครงสร้างของแต่ละประเภทและตัวอย่าง ทำให้เราสามารถเข้าใจ If-Clause ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น เมื่อเราไปเจอประโยค If-Clause ต่างๆทั้งในบทความหรือหนังสือต่างๆ เราก็จะแปลและเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันได้อย่างถูกต้องว่าเป็น If-Clause ประเภทไหน ควรแปลว่าอย่างไร จะทำให้เรามีประสิทธิภาพในการแปลมากยิ่งขึ้น












                                    Learning Log ในห้องเรียน 8
            การเรียนรู้ในห้องเรียนในสัปดาห์นี้นั้น อาจารย์ได้สอนเกี่ยวกับเรื่องของ Noun Clause ซึ่งดิฉันได้ไปศึกษามาบ้างแล้วในการศึกษานอกห้องเรียนของสัปดาห์ที่แล้วนั้นเอง จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Noun Clause ก็เป็นส่วนสำคัญที่เราต้องเรียนรู้หน้าที่ การใช้ประโยคเหล่านี้ในวิชาการแปล เพื่อที่เราจะได้ไปแปลเหมือนกับประโยค Adjective Clause ซึ่งทำให้เราแยกแยะออกว่าอันไหนคือประโยคของอะไร ซึ่งดูได้จากหน้าที่ของแต่ละประโยคเหล่านั้น เมื่อเราเข้าใจแล้วเราก็จะสามารถถอดความและแปลประโยคต่างๆ เหล่านั้นออกมาได้อย่างถูกต้อง สละสลวยและสมบูรณ์ที่สุด
            ซึ่ง Noun Clause นั้นก็คืออนุประโยคที่มีลักษณะเป็นคำนามหรือนั้นเสมือนคำนามธรรมดาๆนั้นเองแต่จะไม่ใช่เป็นคำ จะมีลักษณะเป็นอนุประโยค จะเป็นประธานของกริยา และกรรมของกริยาในประโยคนั้นๆ
            Noun Clause นั้นจะมีอยู่ 2 แบบคือ
1.            Wh-question + S + V. (Wh-question ก็คือ what, where, when, why, how)
เช่น When I am marry to is uncertain.
            I don’t understand why I fell translation subject.
            It is clear how I travel to Bangkok.
ซึ่งคำว่า what จะหมายความว่า สิ่งซึ่ง และคำว่า that จะหมายความว่า ที่ว่า
2.            Yes, no question + S + V. ซึ่งจะใช้ if, whether ในประโยคเสมอ ซึ่งจะแปลว่าหรือเปล่า
หรือไม่
เช่น      Is she student ? จะกลายเป็น I wonder if she is a student.
และ     Did he pass an exam? ก็จะกลายเป็น I  don’t know if he passed an exam.
            ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือประเภทและวิธีการทำจากประธานให้เป็นกรรมของประโยค ซึ่งมีทั้งการใช้ that, what, where, when, why, how และ การใช้ yes, no question คือมีทั้งการใช้ Verb to be และ Verb to do ซึ่ง Noun Clause ก็เปรียบเสมือนเป็นคำนามทั่วไป คือหน้าที่เหมือนกันก็คือ เป็นประธานของประโยคและเป็นกรรมของประโยค แต่แค่มีลักษณะเป็นอนุประโยคไม่ใช่เป็นคำแค่นั้นเอง จึงทำให้เราสามารถเข้าใจได้ง่ายและแปลความได้อย่างถูกต้อง













                                    Learning Log ในห้องเรียน
            สำหรับการเรียนรู้ในห้องเรียนในสัปดาห์นี้นั้น จะเรียนเกี่ยวกับเรื่องของการลดรูปของ Adverb of Time (Reduction of Time Clauses) ซึ่งประโยค Adverb of Time มักจะมีคำเหล่านี้ปรากฎอยู่ คือ after, before, once, until, when, while, as soon as และ since ซึ่งการลดรูปของประโยค Adverb of Time ทำได้ไม่ยาก ซึ่งจะมีทั้งแบบ active และแบบ passive ซึ่งสามารถลดรูปได้ ดังนี้
            พวกประโยคเหล่านี้จะสามารถลดรูปได้ก็ต่อเมื่อประธานในประโยค Adverb of Time กับประธานในประโยค main clause เป็นคนๆเดียวกัน หรือเป็นสิ่งของสิ่งเดียวกัน เช่น
1.            The seed is sown before it is watered. (ประโยค active)
ซึ่ง it ในประโยคก็หมายถึง seed ประโยคนี้ก็เลยสามารถลดรูปได้ โดยการตัด it ออกเพราะเป็นประธานตัวเดียวกัน และก็เปลี่ยน is เป็น being ก็จะได้ประโยค The seed is sawn before being watered.
2.            While he was crossing the street, he met his old friend. (ประโยค passive) ซึ่งในประโยคนี้ he ประโยคแรกกับประโยคหลังคือคนเดียวกันเราก็ตัด he ออกจากประโยคได้เลย จะกลายเป็น While crossing the street, he met his old friend.
ถ้าประโยคลดรูปอยู่หน้า after, before, since ให้ทำตามกฎของมัน ก็คือ
-                   ละประธานในประโยคบอกเวลา ถ้ามันหมายถึงคนเดียวกัน ของสิ่งเดียวกันกับในประโยค main clause
-                   ละ auxiliary verb ในประโยคบอกเวลา แล้วเปลี่ยน verb เป็น verb-ing เมื่อเป็นประโยค active เลย แต่ถ้าประโยคบอกเวลานั้นเป็น past หรือ present perfect กริยา has/have/had เปลี่ยนเป็น having แต่ถ้าประโยคเป็น passive ให้เปลี่ยนเป็น being + past participle เลย
แต่ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย After, Before หรือ Since สามารถลดรูปแล้วเริ่มต้นด้วย V-ing
ได้เลยไม่ว่าจะเป็นประโยค active หรือ passive
            ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือการลดรูปของ Adverb of Time ซึ่งก็จะมีวิธีการลดรูปทั้งแบบ active และแบบ passive ในกรณีที่ประธานในประโยค Adverb of Time และใน main clause เป็นประธานเดียวกัน คือเป็นคนๆเดียวกันหรือเป็นของสิ่งเดียวกัน หรือเป็นประธานทั่วๆไปที่ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงก็สามารถที่จะลดรูปได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นประธานคนละคน ของอย่างละสิ่งกันในประโยค Adverb of Time และ main clause นั้นไม่สามารถที่จะลดรูปได้













                                    Learning Log นอกห้องเรียน 4
            การที่เราจะฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นได้นั้น ไม่ใช่เพียงแต่ศึกษาในตำราอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งวันนี้ดิฉันก็ได้ไปศึกษาค้นคว้านอกห้องเรียนในหัวข้อที่ว่า วิธีการฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งนอกตำรา จากเว็บไซต์พันทิป ซึ่งมีคนมาตั้งกระทู้แชร์ไว้และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เหมาะกับหลายๆคนที่อยากจะฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งมากยิ่งขึ้น โดยการที่จะฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นได้นั้น อันดับแรกเลยก็ต้องฝึกที่ตัวเราก่อน เพราะถ้าตัวเราอยากจะเก่ง เราก็จะมีความพยายามและความตั้งใจมากยิ่งขึ้นในการที่จะฝึกภาษาอังกฤษ
            การฝึกภาษาอังกฤษในกระทู้วิธีการฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งนอกตำรา จากเว็บไซต์พันทิปนี้มีอยู่ 3 สเต็ปด้วยกัน สเต็ปแรกเลยก็คือก็คือการปรับ mindset นั่นคือเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีคนจำนวนมากที่ทำให้หมดกำลังใจในการฝึกภาษาอังกฤษ เช่น พูดชัดไป = โชว์พาว, พยายามพูดให้ชัด = กระแดะ, พูดไม่ชัด = อ่อน ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนความคิด ความกลัวเหล่านี้ให้กลายเป็นความกล้า คือจะต้องหยุดคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ เช่น ต้องฝึกฟังเพลงหรือการสนทนาของชาวต่างชาติตาม youtube ต่อมาคือจำไว้ว่าไม่จำเป็นจะต้องฝึกเหมือนคนอื่นและอย่ามีข้ออ้างในการฝึกภาษาอังกฤษ
            สเต็ปที่ 2 ก็คือเตรียมเครื่องมือการฝึกอย่าง dictionary ฟรีใน chrome คือ double-click ไปที่คำศัพท์นั้นเมื่อไหร่ก็จะมีคำแปลให้ทันที ถ้าเป็นคำศัพท์แลงก็จะเข้าไปแปลในwww.urbandictionary.com ซึ่งมันก็จะอธิบายออกมาว่าคืออะไร
            สเต็ปสุดท้ายก็คือการฝึก เช่นการดูหนัง ดูซีรีส์ ซึ่งควรดู 2 รอบ รอบแรกให้ดูแบบ soundtrack + sub ภาษาไทย คือดูให้รู้เนื้อเรื่องจับใจความให้ได้ รอบที่ 2 ให้ดูแบบ soundtrack + sub ภาษาอังกฤษ รอบนี้ให้ดูเอาคำศัพท์ที่น่าสนใจ
            ดังนั้นการฝึกการฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นได้นั้น ไม่จำเป็นที่จะศึกษาเท่าแต่ในตำราหรือแค่ภายในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังสามารถศึกษาได้จากนอกตำราได้อีกมากมาย อย่างเช่นศึกษาจากในโลกโซเชียลมีเดีย จากอินเทอร์เน็ต ฝึกการใช้ภาษาจากการฟังใน youtube และที่สำคัญที่สุดคืออย่าท้อ หมดหวังกำลังใจในการที่จะฝึกฝนหรือพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของเรา เพราะทุกคนที่เก่งอยู่ในทุกวันนี้นั้นก็เริ่มต้นมาจาก 0 ด้วยกันทั้งนั้น

















                                    Learning Log นอกห้องเรียน 5
            สำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนนั้นได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องของ Adjective Clause ไปว่ามันคืออะไรและมีหน้าที่อย่างไร และใช้ยังไงบ้างแล้ว วันนี้ดิฉันก็ได้ไปศึกษานอกห้องเรียน เกี่ยวกับ Clause ประเภทอื่นๆอีก นอกจาก Adjective Clauseนั้น ก็ยังมี Noun Clause และ Adverb Clause อีกด้วย ซึ่ง Clause ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นก็คือ Subodinate Clause หรือประโยคที่ไม่มีใจความสมบูรณ์ในตัวเอง ซึ่งจะต้องไปอาศัยประโยคหลักหรือ Main Clause อยู่นั่นเอง
            Noun Clause คือประโยคนั้นทั้งประโยคถูกนำมาใช้ทำหน้าที่เป็นนามหรือเสมือนนาม ซึ่งลักษณะประโยคก็คือจะขึ้นต้นด้วยคำของมันเอง ด้วยคำดังต่อไปนี้ who, that, which, where, when, why, who, whom, where, how ซึ่งจำทำหน้าที่ได้หลายอย่างในหลักไวยากรณ์ เช่นเดียวกับคำนามทั่วไปก็คือ
1.            เป็นประธานของกริยา
2.            เป็นกรรมของกริยา
3.            เป็นกรรมของ Preposition
4.            เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา
5.            เป็นนามซ้อนนามของนามที่อยู่ข้างหน้า
Adverb Clause คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนกริยาวิเศษณ์ตัวหนึ่งที่ใช้ขยายกริยา
หรือคำคุณศัพท์ในประโยคหลัก หรือใช้ขยายประโยคหลักเพื่อแสดงถึงวัตถุประสงค์บางประการ และจะตามหลังคำสันธานที่ใช้เชื่อม ซึ่ง จะมีอยู่ 9 ประเภทด้วยกันคือ
1.            Adverb Clause of Time
2.            Adverb Clause of Place
3.            Adverb Clause of Manner
4.            Adverb Clause of Reason
5.            Adverb Clause of Purpose
6.            Adverb Clause of Concession
7.            Adverb Clause of Comparison
8.            Adverb Clause of Resul
9.            Adverb Clause of Condition
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือ Noun Clause และ Adverb Clause ซึ่งก็จะมีลักษณะและการ
ใช้ของ Clause เหล่านี้ สิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งในการเรียน เพราะเราจะต้องรู้ว่ามันคืออะไร ใช้ยังไง ซึ่ง Noun Clause ก็จะเหมือนคำนาม Adverb Clause ก็จะเหมือนคำกริยาวิเศษณ์ เพียงแค่เป็นอนุประโยคก็เท่านั้น และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเราในด้านการแปล เพราะจะทำให้เรารู้และเข้าใจประโยคเหล่านี้ตามบทความต่างๆอีกด้วย











                                    Learning Log นอกห้องเรียน 6
            การเรียนรู้นอกห้องเรียนของดิฉันในอาทิตย์นี้คือการไปทบทวนเรื่อง Adjective Phrase มาเพราะว่าในคาบอาจารย์ได้ให้เขียนเกี่ยวกับประโยคของ Adjective Phrase และการฝึกทักษางด้านการฟัง ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือการดูหนัง ซึ่งจะเป็นภาษาอังกฤษ ซับภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน ทั้งนี้การเรียนรู้นอกห้องเรียนจะช่วยทำให้เราเขาใจคำหรือความหมายของสิ่งต่างๆที่เราอยากจะเรียนรู้ อยากจะเข้าใจ รวมไปถึงสิ่งที่ไม่เข้าใจ ให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
            สำหรับการทบทวนเรื่อง Adjective Phrase นั้น Adjective Phrase จะทำหน้าที่เป็นคำ Adjective เพื่ออธิบายหรือขยายคุณลักษณะของคำนามหรือคำสรรพนาม ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราจะพบในตำแหน่งต่างๆดังนี้
1.            อยู่ก่อนคำนาม
2.            อยู่หลังคำนามหรือสรรพนาม
3.            ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มของ linking verb หรือเป็นส่วนเติมเต็มของกรรม
และสำหรับการฝึกทักษะการฟังก็คือการฟังเพลงภาษาอังกฤษ ซึ่งจะฟังแบบมีเนื้อร้อง
ภาษาอังกฤษด้วยอย่างเช่นเพลง See you again ของ Wiz Khalifa ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ชอบเลยอยากทำให้อยากฟังมากที่สุด และฟังอีกหลายๆเพลง และอีกอย่างในการฝึกการฟังคือการดูหนังพากย์ภาษาอังกฤษ และก็มีซับเป็นภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน
            ดังนั้นการเรียนรู้นอกห้องเรียนของดิฉันคือการไปทบทวนเรื่องที่เรากำลังจะเรียนว่าเป็นอย่างไรอย่างการไปทบทวนเรื่อง Adjective Phrase ตามที่อาจารย์ได้ให้ประโยคมา และการที่ฝึกทักษะทางด้านการฟังของดิฉัน ซึ่งก็เริ่มจากที่ชอบ อย่างสื่อทางด้านบันเทิงอย่างเช่นการดูหนังฟังเพลงที่เป็นภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งเนื้อเพลงและซับหนังที่เป็นภาษาอังกฤษจะทำให้เราเข้าใจความหมายและจับใจความได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

                                    Learning Log นอกห้องเรียน7
            การเรียนรู้นอกห้องเรียนของดิฉันในสัปดาห์นี้คือการฝึกพัฒนาทักษะทางด้านการฟัง ซึ่งมาจากการฟังเพลงภาษาอังกฤษ และการฝึกพัฒนาทักษะทางด้านการอ่าน ซึ่งมาจากการอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน เพื่อที่จะทำให้ดิฉันฟังและอ่านภาษาอังกฤษออก ว่าคำไหนอ่านว่าอย่างไร แปลว่าอะไร เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษว่าเราพัฒนาขึ้นบ้างไหม และก็ไปศึกษาก่อนเรียนในเรื่องของ If Clause มาเพื่อที่จะได้เตรียมตัวเข้าสู่บทเรียนสำหรับการเรียนในคาบหน้า
            การฝึกพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษทางด้านการฟังก็คือการฟังเพลงสากลทั่วไป ซึ่งมีเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ แต่รอบแรกๆจะลองฟังแบบไม่มีเนื้อเพลงดู เพราะต้องการทดสอบตัวเองว่าฟังออกไหม ส่วนใหญ่ก็จะจับ key words เอา พอรอบหลังก็จะฟังและก็ดูเนื้อเพลงไปด้วย เพื่อหาศัพท์ที่เราไม่รู้และฟังไม่ออก ก็จะไปค้นหาความหมายดูว่าคืออะไร
            ต่อมาก็คือการฝึกพัฒนาทักษะทางด้านการอ่าน คือการอ่านหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษ โดยปกติก็อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวันอยู่แล้วแต่เป็นภาษาไทย พออ่านภาษาอังกฤษ คำไหนที่เราไม่รู้ความหมาย เราก็จะต้องค้นหาความหมายเพื่อให้รู้อีกเช่นกัน ซึ่งการหาคำศัพท์ที่เราไม่รู้เหล่านี้จะช่วยให้เรารู้จักคำศัพท์ใหม่ๆมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
            ต่อมาคือการไปศึกษาเรื่องของ If Clause มาเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่บทเรียนในสัปดาห์ถัดไป ซึ่งมันก็คือประโยคแสดงเงื่อนไขนั่นเอง ซึ่งจะประกอบด้วยอนุประโยค 2 ประโยค ประโยคนึงจะขึ้นต้นคำว่า If กับอีกประโยคจะเป็นประโยคสมบูรณ์ทั่วไป สามารถสลับที่กันได้ ซึ่งจะแบ่งได้ดังนี้คือ
1.            ประโยคที่ใช้สำหรับพูดความจริงทั่วไป โดยใช้ present simple ทั้ง 2 ประโยค โครงสร้างคือ If + S. + V.1,….. S. + V.1
2.            ประโยคที่ใช้สำหรับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน คือใช้สำหรับพูดว่าถ้าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น
โครงสร้างคือ  If + S. + V.1,…… S. + will/be going to + V.1
3.            ประโยคที่ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบันหรืออนาคต ใช้พูดถึงความใฝ่ฝันในอนาคตแต่ไม่อาจเกิดขึ้นได้หรือใช้พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่จริงเลย
โครงสร้าง คือ If + Past Simple,…… would + infinitive
4.            ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในอดีต คือใช้พูดเกี่ยวกับอดีตที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
โครงสร้าง คือ If + Past Perfect,…… would + have + Past Participle
สำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนของดิฉันก็คือทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็คือการที่ไป
ฝึกพัฒนาภาษาอังกฤษทั้งทางด้านการฟังและการอ่าน ซึ่งจะทำให้เรารู้คำศัพท์ใหม่ๆที่เราไม่เคยรู้มาก่อนได้อีกด้วย อีกทั้งยังได้ไปศึกษาเรื่องของ If Clause  ว่าคืออย่างไร มีกี่ประเภทและมีโครงสร้างอย่างไร เพื่อที่จะเตรียมตัวเข้าสู่บทเรียนในคาบถัดไป เพื่อที่จะช่วยให้เราเข้าใจในเนื้อหาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
Learning Log นอกห้องเรียน 8
                    การเรียนรู้นอกห้องเรียนในสัปดาห์นี้ของดิฉันก็คือการพัฒนาทักษะทางด้านการฟัง เพราะโดยปกติชอบฟังเพลงต่างๆอยู่แล้ว รวมไปถึงการดูหนังแบบ sound tract เพื่อจะพัฒนาทั้งด้านการฟังและได้คำศัพท์ใหม่ๆอีกด้วย รวมถึงประโยคที่ใช้สนทนากันจริงๆจากในหนัง ซึ่งการฝึกเหล่านี้จะต้องฝึกจากสิ่งที่เราชอบจะได้เป็นตัวกระตุ้นให้เราอยากจะทำ อยากจะพัฒนามากยิ่งขึ้นนั่นเอง
                     เพลงแรกที่ฝึกฟังก็คือเพลง Safe and sound ของ Taylor Swift ก็คือเป็นในยูทูปฟัง แรกๆฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่พอยังจับใจความได้บ้าง และรอบหลังๆก็ฟังแบบมีเนื้อเพลงด้วยเพื่อที่จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
                    ต่อมาก็คือเพลง Someone like you ของ Adale ที่เลือกฟังเพลงนี้ก็เพราะชอบการร้องของนักร้องคนนี้ เสียงมีพลังและดนตรีก็เพราะ เพลงนี้จะยากตรงการออกเสียง ed เพราะจะฟังไม่ค่อยออกจนได้ดูเนื้อร้อง แล้วก็ไปฝึกฟังดูใหม่ว่าเขาออกเสียงยังไง
                   ต่อมาภาพยนตร์ที่ได้ไปดูมาก็คือเรื่อง Battle Ship ที่เลือกดูเพราะชอบพระเอกมาก เลยทำให้อยากดู ดูกี่รอบก็ไม่เบื่อ โดยดูแบบ sound tract ก็คือเป็นหนังเกี่ยวกับทหารเรือซึ่งก็มีพระเอกอยู่ด้วยต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาว โดยเริ่มมากจากฝีมือมนุษย์นั่นเอง เป็นหนังที่สนุก และภาษาที่ใช้ก็ไม่ยากเกินไปด้วย
                   ทั้งหมดนี้ก็คือการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาอังกฤษของดิฉัน คือดิฉันจะเลือกจากการฟังก่อน เพราะปกติจะชอบฟังอยู่แล้วและจากการดูหนังโดยเลือกจากแนวหนังที่เราชอบและดาราที่เล่น จะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะอยากดู คือจะดูหลายๆรอบก็ไม่รู้สึกเบื่อ และคำศัพท์ต่างๆที่เรายังไม่เคยรู้หรือเคยเห็นมาแล้วแต่จำไม่ได้ ก็จะช่วยให้เราจำคำศัพท์ได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น

                    Learning Logนอกห้องเรียน 9
                     การเรียนรู้นอกห้องเรียนในสัปดาห์นี้คือการไปศึกษาเรื่อง Noun Clause เพื่อที่จะเตรียมตัวเข้าสู่บทเรียนในคาบหน้าซึ่งอาจารย์ได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว อีกอย่างนึ่งก็คือการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั่นคือการอ่านหนังสือพิมพ์และการฟังเพลงสากลตามเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยฝึกพัฒนาให้เราสามารถฟังสำเนียงของเขาออกได้อย่างถูกต้อง
                     Noun Clause คือเรื่องที่ดิฉันไปศึกษาค้นคว้ามาก่อนเรียน ซึ่ง Noun Clause ก็คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนคำนามซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งประธานและกรรมของประโยคก็ได้ ซึ่งวิธีสังเกต คือ Noun Clause มักจะขึ้นต้นประโยคด้วย that, which, what, how, where, when, why, who, whose, whom ซึ่งหน้าที่ของ Noun Clause ก็เหมือนกับคำนามทั่วไปก็คือ
1.            เป็นประธานของกริยา
2.            เป็นกรรมของกริยา
3.            เป็นกรรมของบุพบท
4.            เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา
5.            เป็นคำนามซ้อนนามตัวอื่น
ประโยค Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย that นั้น ถ้าเป็นภาษาพูดเรามักจะละ that ไว้เสมอ
แต่ประโยคที่จะต้องใช้ that อยู่เสมอไม่สามารถละได้คือ
1.            เมื่อ that clause ขึ้นต้นประโยค
2.            เมื่อ that clause เป็นคำซ้อนนามที่อยู่ข้างหน้ามัน
3.            that clause อยู่หลัง It is
ต่อมาก็คือการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาอังกฤษทางด้านการฟัง โดยเลือกเพลง
 Party in the USA ของ Miley Cyrus เพลงนี้จะเป็นศัพท์ง่ายๆหมดเลย จะออกแนวเป็นศัพท์ที่ทันสมัยหน่อย ศิลปินก็ร้องเพลงแบบชัดถ้อยชัดคำมาก คือฟังแล้วรู้เรื่อง ฟังง่าย ทำให้เราสามารถเข้าใจและฟังเพลงได้อย่างง่ายๆ
               และทั้งหมดนี้ก็คือการไปศึกษานอกห้องเรียนของดิฉัน ซึ่งก็คือการไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของ Noun Clause เนื่องจากจะได้เตรียมตัวเข้าสู่บทเรียนในสัปดาห์ถัดไป และการฝึกพัฒนาทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ โดยฝึกจากการฟัง โดยเลือกจากการฟังเพลงในอินเตอร์เน็ตหรือจากเว็บไซต์ยูทูบนั่นเอง
                                                                                                     
              
                                                                                                      นนน